| คำนำว่าด้วยรังสีนิวเคลียร์เป็นอย่างไร (Introduction  to How Nuclear radiation Works)เราคงเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องการแผ่รังสีทั้งจากในนวนิยายและในชีวิตจริง  ตัวอย่างเช่น เมื่อ ยานอวกาศเอ็นเทอร์ไพรส์เดินทางไปยังดวงดาวต่าง ๆ จากเรื่อง ตลุยอวกาศ (Star Trek) ที่ลูกเรือมักจะได้รับคำเตือนให้ระวังในเรื่องระดับการแผ่รังสีที่เพิ่มขึ้น  หรือในหนังสือของทอม แคลนซี (Tom Clancy) เรื่อง The  Hunt for Red October เกี่ยวกับเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่เกิดอุบัติเหตุ  ทำให้เกิดการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีจนเป็นเหตุให้ต้องสละเรือ ตลอดจนการเกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์  และมีการปลดปล่อยสารกัมมันตรังสีออกสู่สิ่งแวดล้อมที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทรีไมล์ไอส์แลนด์  (Three mile Island) และเชอร์โนบิล (Chernobyl) และผลพวงจากการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ที่ถล่มประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม  2011 ที่เป็นวิกฤตทางนิวเคลียร์ เพิ่มความหวาดกลัว  เกี่ยวกับการแผ่รังสี และคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
 
                  
                            รังสีนิวเคลียร์เป็นได้ทั้งประโยชน์อย่างอนันต์  และในทำนองเดียวกันก็มีโทษอย่างมหันต์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานอย่างไร  เครื่องฉายรังสีเอกซ์ เครื่องมืออุปกรณ์บางประเภทที่เกี่ยวกับการฆ่าเชื้อโรค  และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั้งหมดนี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับรังสีนิวเคลียร์ทั้งสิ้น  และไม่เว้นแม้แต่อาวุธนิวเคลียร์ วัสดุนิวเคลียร์ (สารที่มีการปลดปล่อยรังสีนิวเคลียร์)  เป็นคำรวมทั่วไปและเป็นศัพท์ปกติที่มีความแตกต่างกันในหลายอย่าง  เราอาจเคยได้ยินหรือใช้งานมาแล้วกับหลายคำดังต่อไปนี้  
                    ยูเรเนียม (uranium)พลูโทเนียม (plutonium)รังสีแอลฟ่า (alpha  rays)รังสีบีตา (beta  rays)รังสีแกมมา (gamma  rays)รังสีเอกซ์ (X-rays)รังสีคอสมิก (cosmic  rays)การแผ่รังสี (radiation)พลังงานนิวเคลียร์ (nuclear  power)ลูกระเบิดนิวเคลียร์ (nuclear  bombs)กากนิวเคลียร์ (nuclear  waste)ฝุ่นกัมมันตรังสี (nuclear  fallout)นิวเคลียร์ฟิชชัน (nuclear  fission)ลูกระเบิดนิวตรอน (neutron  bombs)ครึ่งชีวิต (half  -life)แก๊สเรดอน (radon  gas)เครื่องตรวจจับควันไฟ (ionization  smoke detectors)การหาอายุจาก  คาร์บอนด์-14  (carbon-14 dating) ทั้งหมดของคำเหล่านี้มีความสัมพันธ์ตามความจริงที่ว่า  ทั้งหมดมีองค์ประกอบที่จะดำเนินการด้วยธาตุทางนิวเคลียร์อย่างใดอย่างหนึ่ง บางสิ่งมีอยู่แล้วตามธรรมชาติบางอย่างเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์  แต่ที่แน่นอนคือการแผ่รังสีคืออะไร ทำไมจึงเป็นอันตรายร้ายแรง  ในบทความนี้จะมองไปที่รังสีนิวเคลียร์ เพื่อที่จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า อะไร  และอย่างไร ที่มีผลกรทบต่อชีวิตคนเราในแต่ละวัน   อนุภาคสีเหลืองคือวงโคจรของอิเล็กตรอน  อนุภาคสีน้ำเงินคือนิวตรอน และอนุภาคสีแดงคือโปรตอน
 นิวเคลียร์ ใน รังสีนิวเคลียร์ (The Nuclear in Nuclear  Radiation)เริ่มจากจุดเริ่มต้นและทำความเข้าใจคำว่า นิวเคลียร์ ใน รังสีนิวเคลียร์ มาจากไหน  ในที่นี้คือบางสิ่งที่เรารับรู้กันมาแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างประกอบขึ้นมาจาก อะตอม โดยที่อะตอมผูกพัน กันเป็นโมเลกุล  ดังเช่นโมเลกุลของน้ำประกอบด้วยอะตอมไฮโดรเจนสองอะตอม และอะตอมออกซิเจนหนึ่งอะตอม ผูกรวมกันเป็นหน่วยเดียว  ทั้งนี้เพราะเราได้เคยเรียนรู้ในชั้นเรียนมัธยม เกี่ยวกับอะตอมและโมเลกุล  โดยเราเข้าใจและรู้สึกคุ้นเคยกับมัน ในธรรมชาติอะตอมใด ๆ ที่พบ  จะเป็นอะตอมหนึ่งใดของอะตอม 92 ชนิด ที่เรียกว่า ธาตุ ดังนั้น  สสารทุกชนิดบนโลก โลหะ พลาสติก ผม เสื้อผ้า ใบไม้ แก้ว  ถูกสร้างขึ้นจากการรวมกันของอะตอมธาตุ 92 ชนิด ที่พบอยู่ในธรรมชาติ  ทั้งนี้ในตารางพีริออดิก (ตารางธาตุ) ที่เห็นในชั้นเรียนเคมี ก็คือรายชื่อธาตุที่พบในธรรมชาติ  รวมกับรายชื่อธาตุที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์
           ภายในทุก ๆ อะตอมประกอบด้วย  อนุภาคย่อยสามอนุภาค คือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยที่โปรตอนและนิวตรอนผูกรวมด้วยกันประกอบเป็น นิวเคลียส ของอะตอม ขณะที่อิเล็กตรอนจะอยู่รอบวงโคจรของนิวเคลียส  โปรตอนและอิเล็กตรอนจะมีประจุที่ตรงข้ามกัน จึงมีแรงดึงดูดแก่กันและกัน (อิเล็กตรอนมีประจุลบและโปรตอนมีประจุบวก  และประจุที่ตรงข้ามกันจะมีแรงดึงดูดกัน) และโดยปกติส่วนมากจำนวนอิเล็กตรอนและจำนวนโปรตอนจะมีเท่า  ๆ กันในอะตอม (ทำให้อะตอมมีประจุเป็นกลาง เพราะนิวตรอนก็มีประจุเป็นกลางด้วย)  จุดมุ่งหมายหลักภายในนิวเคลียสก็คือ การผูกพันโปรตอนเข้าด้วยกัน แต่ทั้งนี้เพราะโปรตอนมีประจุที่เหมือนกันจึงมีแรงผลักซึ่งกันและกัน  นิวตรอนจึงเป็นเสมือน กาว ที่จะเชื่อมโปรตอนเข้าด้วยกันในนิวเคลียส            จำนวนโปรตอนในนิวเคลียส  จะเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของอะตอม ดังตัวอย่างเช่น ถ้ารวมโปรตอน 13 อนุภาคกับนิวตรอน  14 อนุภาค เพื่อที่จะสร้างนิวเคลียส และมีอิเล็กตรอน 13 อนุภาค วิ่งโคจรรอบนิวเคลียส อะตอมที่จะได้ก็คืออะตอมของ อะลูมิเนียม ทั้งหมดจะเรียกว่า อะลูมิเนียม-27 จำนวน 27 คือเลขมวลอะตอม ซึ่งเป็นผลรวมของจำนวน โปรตอนและนิวตรอนในนิวเคลียส  ถ้าเรานำอะตอมของอะลูมิเนียมมาใส่ในขวด และทิ้งไว้หลาย ๆ ล้านปี  มันก็ยังคงสถานะเป็นอะตอมของอะลูมิเนียม ดังนั้นจึงเรียกอะลูมิเนียม-27 ว่าเป็นอะตอมที่มีความเสถียร  นับขึ้นไปเมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาก็คิดกันว่า  ทุกอะตอมของธาตุมีความเสถียรเช่นนี้เหมือนกันหมด           อะตอมจำนวนมาก จะมีรูปแบบที่แตกต่างกัน  ดังตัวอย่างเช่น ทองแดงจะมีสองรูปแบบที่มีความเสถียร คือ ทองแดง-63 (มีอยู่ประมาณ  70% ของทองแดงที่มีในธรรมชาติ) และทองแดง-65 (มีอยู่ประมาณ 30%) ในสองรูปแบบนี้จะเรียกว่า ไอโซโทป อะตอมของทองแดงสองไอโซโทปนี้ จะมี โปรตอน  29 อนุภาค แต่อะตอมของทองแดง-63 จะมีนิวตรอน  34 อนุภาค ขณะที่อะตอมของทองแดง-65 มีนิวตรอน  36 อนุภาค ทองแดงทั้งสองไอโซโทปจะทำหน้าที่และมีลักษณะที่เหมือนกัน  และเป็นไอโซโทปเสถียรทั้งสองไอโซโทป           ในส่วนที่ยังไม่มีความเข้าใจกันจนกระทั่งเมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาคือว่า  มีธาตุบางธาตุมีไอโซโทปที่เป็นสารกัมมันตรังสี และในบางธาตุมีไอโซโทปทั้งหมดเป็นสารกัมมันตรังสี  ไฮโดรเจนเป็นตัวอย่างที่ดีของธาตุที่มีหลายไอโซโทป หนึ่งในนั้นเป็นสารกัมมันตรังสี  ไฮโดรเจนปกติหรือ ไฮโดเจน-1มีโปรตอนหนึ่งอนุภาคและไม่มีนิวตรอน (เพราะว่าในนิวเคลียสมีเพียงโปรตอนอนุภาคเดียว  จึงไม่จำเป็นที่จะต้อมีนิวตรอนเป็น กาว จับยึด) ไฮโดรเจนยังมีไอโซโทปอื่น คือ ไฮโดรเจน-2 (คือ  ดิวเทอเลียม) ซึ่งมีโปรตอนและนิวตรอนอย่างละหนึ่งอนุภาคในนิวเคลียส ดิวเทอเลียมมีอยู่น้อยมากในธรรมชาติ  (มีอยู่ประมาณ 0.015% ของไฮโดรเจนทั้งหมด) มันมีปฏิกิริยาเหมือนกับไฮโดรเจน-1 (สามารถที่จะนำมาทำเป็นน้ำได้) มันจะมีความแตกต่างกันจากไฮโดรเจน-1 โดยที่จะมีความเป็นพิษเมื่อมีความเข้มข้นสูง และไอโซโทปดิวเทอเลียมจะมีความเสถียร  ไอโซโทปที่สามก็คือไฮโดรเจน-3 (รู้จักกันในชื่อ ทริเทรียม) มีโปรตอนหนึ่งอนุภาคและนิวตรอนสองอนุภาคภายในนิวเคลียส  และเป็นไอโซโทปที่ไม่เสถียร นั่นคือถ้าเราบรรจุทริเทรียมไว้เต็มภาชนะ  แล้วทิ้งไว้หลายล้านปี จะพบว่ามันเปลี่ยนไปเป็นฮีเลียม-3 (ในนิวเคลียสมีโปรตอนสองอนุภาคกับนิวตรอนหนึ่งอนุภาค)  ซึ่งมีความเสถียร กระบวนการที่ไฮโดรเจน-3 เปลี่ยนไปเป็นฮีเลียมเรียกว่า การสลายกัมมันตรังสี           ธาตุบางชนิดโดยธรรมชาติจะเป็นไอโซโทปรังสีทั้งหมด  ยูเรเนียมเป็นตัวอย่างที่ดีของธาตุพวกนี้ โดยเป็นธาตุที่หนักที่สุดที่มีในธรรมชาติและเป็นธาตุกัมมันตรังสี  ยังมีธาตุอื่น ๆ อีก 8 ธาตุ ในธรรมชาติที่เป็นธาตุกัมมันตรังสี คือ พอโลเนียม แอสทาทีน  เรดอน แฟรนเซียม เรเดียม แอกทิเนียม ทอเลียม และโพรแทกทิเนียม  ธาตุที่หนักกว่ายูเรเนียมที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ก็เป็นธาตุกัมมันตรังสีเช่นกัน  การสลายกัมมันตรังสี (Radioactive  Decay)การสลายกัมมันตรังสีเป็นกระบวนการทางธรรมชาติ  คืออะตอมของไอโซโทปรังสีจะสลายไปอย่างต่อเนื่องเปลี่ยนไปเป็นธาตุชนิดอื่น  ผ่านสามกระบวนการธรรมดา คือ
 
                    การสลายให้รังสีอลฟา (Alpha  decay)การสลายให้รังสีบีตา (Beta  decay)กระบวนการฟิชชันเกิดเอง (Spontaneous  fission) ในกระบวนการจะทำให้เกิดกัมมันตภาพรังสี  4 ชนิด คือ  
                    รังสีแอลฟา (Alpha  rays)รังสีบีตา (Beta  rays)รังสีแกมมา (Gamma  rays) รังสีนิวตรอน (Neutron rays)           อะเมริเซียม-241 เป็นธาตุที่รู้จักกันดีในการใช้ทำเครื่องตรวจจับควันไฟ  เป็นตัวอย่างที่ดีที่มีการสลายให้รังสีแอลฟา โดยอะตอมอะเมริเซียม-241 จะสลายด้วยการผลักอนุภาคแอลฟาออกมา โดยอนุภาคแอลฟาประกอบขึ้นด้วยโปรตอน 2  อนุภาค และนิวตรอน 2 อนุภาค จับตัวรวมอยู่ด้วยกัน ซึ่งเทียบเท่ากับนิวเคลียสของธาตุฮีเลียม-4            ในกระบวนการที่มีการปลดปล่อยอนุภาค แอลฟา  อะตอมของ อะเมริเซียม-241 จะเปลี่ยนเป็นอะตอมเนปทูเนียม-237 อนุภาคแอลฟาถูกปลดปล่อยออกมาด้วยความเร็วที่สูงมาก  บางที มีความเร็วถึง 10,000 ไมล์ต่อวินาที (16,000 กิโลเมตรต่อวินาที)           ถ้ามองไปที่อะตอมของอะเมริเซียม-241 จะคาดการณ์ไม่ได้เลยว่า  เมื่อใดจึงจะมีการปลดปล่อยอนุภาคแอลฟาออกมา แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีการรวบรวมอะตอมจำนวนมากของอะเมริเซียม-241  ก็จะพอที่จะคาดการณ์อัตราของการสลายให้รังสีแอลฟาได้ สำหรับอะเมริเซียม-241 เป็นที่ทราบกันว่า การที่อะตอมสลายไปจนเหลือเพียงครึ่งเดียวต้องใช้เวลา 458  ปี ดังนั้น ตัวเลข 458 ปี ก็คือครึ่งชีวิตของอะเมริเซียม-241 ทุกธาตุกัมมันตรังสีมีค่าของครึ่งชีวิตที่แตกต่างกันไป  มีช่วงตั้งแต่เป็นวินาที จนถึงหลายล้านปี  ขึ้นอยู่กับความเฉพาะเจาะจงของไอโซโทปนั้น ๆ ดังตัวอย่างอะเมริเซียม-243 มีครึ่งชีวิต 7,370 ปี           ทริเทรียม (ไฮโดรเจน-3) เป็นตัวอย่างที่ดีของธาตุที่สลายให้รังสีบีตา  ในการสลายให้รังสีบีตานั้น นิวตรอนในนิวเคลียสจะเปลี่ยนเป็นโปรตอน และอิเล็กตรอน  และอนุภาคที่ 3 ที่เรียกว่าแอนตินิวทริโน โดยนิวเคลียสจะมีการปลดปล่อยอิเล็กตรอนและแอนตินิวทริโนออกมา  ขณะที่โปรตอนยังคงอยู่ในนิวเคลียส การปลดปล่อยอิเล็กตรอนเรียกว่าเป็นอนุภาคบีตา  โดยนิวเคลียสสูญเสียนิวตรอนไป 1 อนุภาค และมีโปรตอนเพิ่มขึ้น 1 อนุภาค ดังนั้น  อะตอมของไฮโดรเจน-3 สลายรังสีบีตากลายไปเป็นอะตอมฮีเลียม-3  
                  
                           กระบวนการฟิชชันเกิดเอง เกิดโดยโดยอะตอมจะแบ่งแยกตัวออกเป็นสองส่วน  แทนที่จะมีการปลดปล่อยรังสีแอลฟาหรือรังสีบีตา คำว่า ฟิชชัน หมายถึง การแบ่งแยกนิวเคลียส ของอะตอมที่หนัก ๆ  เช่น เฟอร์เมียม-256 จะมีการเกิดฟิชชันด้วยตัวเองประมาณ 97% เมื่อมีการสลาย  และในกระบวนการนี้ จะได้ผลลัพธ์เป็น 2 อะตอม ตัวอย่างเช่น อะตอมของเฟอร์เมียม-256 หนึ่งอะตอม เมื่อเกิดฟิชชัน อาจได้เป็นอะตอมของซีนอน-140 และอะตอมของแพลเลเดียม-112  และในกระบวนการจะมีการปลดปล่อยนิวตรอนออกมา 4 อนุภาค (เรียกว่า พรอมต์นิวตรอน (prompt neutron) ทั้งนี้เพราะว่าจะมีการปลดปล่อยนิวตรอนออกมา ทันทีทันใด (prompt) เมื่อเกิดฟิชชัน)นิวตรอนเหล่านี้สามารถที่จะถูกจับยึดโดยอะตอมอื่น  ๆ ทำให้เกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ เช่น การสลาย หรือเกิดฟิชชัน  หรือมีการชนกับอะตอมอื่น เหมือนกับลูกบิลเลียด ทำให้เกิดการปลดปล่อยรังสีแกมมา           รังสีนิวตรอนสามารถที่จะทำให้อะตอมที่ไม่เป็นกัมมันตรังสี  เปลี่ยนเป็นอะตอมที่เป็นกัมมันตรังสีได้ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์  รังสีนิวตรอนสามารถทำขึ้นได้จากเครื่องปฏกรณ์นิวเคลียร์ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์  และเรือที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการขับเคลื่อน และจากเครื่องเร่งอนุภาค หรือทำได้จากเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาทางฟิสิกส์เกี่ยวกับส่วนย่อยของอะตอม            ในหลาย ๆ กรณี นิวเคลียสที่เกิดการสลายให้รังสีแอลฟา  หรือสลายให้รังสีบีตา หรือฟิชชันเกิดเอง จะมีพลังงานสูงและดังนั้นจึงไม่เสถียร นิวเคลียสนี้จึงกำจัดพลังงานส่วนเกินออกมาเป็นพัลส์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพลังงานสูง  ที่รู้จักกันในชื่อว่ารังสีแกมมา รังสีแกมมาจะเหมือนกับรังสีเอกซ์ ที่สามารถทะลุทะลวงสสารได้สูง  แต่รังสีแกมมาจะมีพลังงานมากกว่ารังสี เอกซ์ รังสีแกมมาประอกบขึ้นจากพลังงาน ไม่ได้เป็นอนุภาคที่เคลื่อนที่เหมือนกับอนุภาคแอลฟาและอนุภาคบีตา           นอกเหนือจากรังสีดังที่กล่าวมาแล้ว  ก็ยังมีรังสีคอสมิกที่แผ่มายังพื้นโลกตลอดเวลา รังสี คอสมิกมีแหล่งกำเนิดจากดวงอาทิตย์  และจากการระเบิดของดวงดาว ส่วนประกอบสำคัญ (ประมาณ 85%) ของรังสีคอสมิก คือโปรตอนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบเท่าความเร็วของแสง  ในขณะที่ส่วนประกอบอื่น ๆ นั้น เกือบ 12% เป็นอนุภาคแอลฟาที่เคลื่อนที่เร็วมาก  จากความเร็วของอนุภาคนี่เอง ที่ทำให้ทะลุทะลวงสิ่งต่าง ๆ ได้สูง เมื่อรังสีคอสมิกเคลื่อนที่มากระทบชั้นบรรยากาศ  ก็จะชนกับอะตอมของธาตุต่าง ๆ ในชั้นบรรยากาศในหลายรูปแบบ ทำให้ได้รังสีคอสมิกทุติยภูมิที่มีพลังงานลดน้อยลงกว่าเดิม  รังสีคอสมิกทุตยภูมิก็จะวิ่งมาชน สิ่งต่าง ๆ บนพื้นโลกรวมทั้งมนุษย์เราด้วย  เราได้รับรังสีคอสมิกทุตยภูมิอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่ได้เป็นอันตราย ทั้งนี้เพราะรังสีคอสมิกทุตยภูมิมีพลังงานต่ำกว่ารังสีคอสมิกปฐมภูมิ  รังสีคอสมิกปฐมภูมิจะเป็นอันตรายกับมนุษย์อวกาศที่อยู่ในอวกาศ อันตราย ตามธรรมชาติ (A  Natural Danger)แม้ว่า ตามธรรมชาติ แล้ว  ในแง่ที่ว่าอะตอมของธาตุกัมมันตรังสีสลายก็เกิดการสลายกันไปตามธรรมชาติของมัน  และธาตุกัมมันตรังสีก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติก็จริง กัมมันตภาพรังสีทั้งหลายทั้งหมดที่มีการปลดปล่อยออกมานี้  ล้วนเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต เพราะไม่ว่าอนุภาคแอลฟา อนุภาคบีตา นิวตรอน รังสีแกมมา  และรังสีคอสมิก ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นรังสีชนิดก่อไออน ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อรังสีเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กับอะตอมก็จะมีการกระแทกอิเล็กตรอนให้หลุดออกมา  การสูญเสียอิเล็กตรอนของอะตอมนั้น ทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา ซึ่งรวมถึงทุกสิ่งตั้งแต่การตายของเซลล์  จนกระทั่งเกิดการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม (อันนำไปสู่การเป็นมะเร็ง) ของสิ่งมีชีวิตใด  ๆ
           การที่เพราะอนุภาคแอลฟาเป็นอนุภาคที่มีขนาดใหญ่  จึงไม่สามารถที่จะทะลุทะลวงสิ่งต่าง ๆ ไปได้ไกล มันไม่สามารถแม้กระทั่งที่จะทะลุแผ่นกระดาษได้  จึงเป็นตัวอย่างที่ว่า เมื่ออนุภาคแอลฟาอยู่ภายนอกร่างกายมันจึงไม่มีผลกระทบต่อผู้คนทั้งหลาย  แต่ถ้าเรากินหรือหายใจเอาอะตอมของธาตุที่สามารถปลดปล่อยอนุภาคแอลฟาเข้าไปในร่างกายแล้ว  ก็จะสามารถที่จะทำให้มีความเสียหายเกิดขึ้นภายในร่างกายได้            อนุภาคบีตามีอำนาจทะลุทะลวงได้ลึกกว่าอนุภาคแอลฟา  แต่ก็สามารถนำความเสียหายและเป็นอันตรายได้ ถ้ากินหรือหายใจเข้าไปในร่างกาย อนุภาคบีตาสามารถที่จะถูกหยุดได้โดยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์หรือแผ่นพลาสติก  (plexiglas) รังสีแกมมาจะเหมือนกับรังสีเอกซ์ที่จะถูกหยุดได้ด้วย ตะกั่ว           การที่อนุภาคนิวตรอนไม่มีประจุ จึงมีอำนาจทะลุทะลวงได้ลึกมาก  ๆ สิ่งที่จะหยุดนิวตรอนได้ดีอาจใช้ชั้นคอนกรีตหนามาก ๆ  หรือของเหลวเช่นน้ำหรือน้ำมันเตา ทั้งรังสีแกมมาและนิวตรอนจะมีอำนาจทะลุทะลวงสูง มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเซลล์ของมนุษย์และสัตว์อื่น  ๆ เราอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่อง ลูกระเบิดนิวตรอน แนวคิดทั้งหมดของลูกระเบิดนี้ก็คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการที่จะทำให้เกิดนิวตรอนและรังสีแกมมา  เพื่อให้ลูกระเบิดมีผลกระทบอย่างรุนแรงสูงสุดต่อสิ่งมีชิวิต           ดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเห็นได้ว่ากัมมันตภาพรังสีก็คือ ธรรมชาติ และภายในร่างกายของเราทุกคนก็มีสารกัมมันตรังสีเป็นส่วนประกอบอยู่เช่น  คาร์บอน-14 นอกจากนี้ก็ยังมีธาตุกัมมันตรังสีหลายชนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น และปล่อยสู่สภาวะแวดล้อม  ซึ่งเป็นอันตราย  รังสีนิวเคลียร์มีประโยชน์อย่างมากมายเช่นใช้พลังงานนิวเคลียร์มาผลิตไฟฟ้า  และกระบวนการของเวชศาสตร์นิวเคลียร์ที่ใช้ในการวินิจฉัยและการบำบัดรักษาโรค  ในทำนองเดียวกัน รังสีนิวเคลียร์ก็มี อันตรายอย่างมีนัยสำคัญ ถอดความจาก http://science.howstuffworks.com/nuclear2.htm |