Nuclear Science
STKC 2555

ประวัติย่อการตรวจหาและการวัดรังสีชนิดก่อไอออน
6. วิวัฒนาการอุปกรณ์วัดรังสี : การแตกตัวเป็นไอออน

สุรศักดิ์ พงศ์พันธุ์สุข
กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)

          วิวัฒนาการของอุปกรณ์ตววจหาและวัดรังสี มีความแนบแน่นมากกับการค้นพบผลต่าง ๆ ของรังสี ในระยะเริ่มต้นของการค้นพบและการวิจัยเกี่ยวกับรังสี โดยยังเป็นหลักใหญ่ของการตรวจหารังสีที่ใช้มาจนปัจจุบัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา อุปกรณ์ตววจหาและวัดรังสีผ่านการปรับปรุงมาหลายครั้งหลายหน และมีบุคคลมากมาย ที่มีส่วนร่วมในพัฒนาการสำคัญ ๆ ซึ่งจะนำมากล่าวถึงเฉพาะพัฒนาการที่เป็นแนวหลัก คือ การถ่ายรูป (photographic) การเปล่งแสงวับ (scintillation) การแตกตัวเป็นไอออน (ionization) ผลึกของแข็ง (solid crystal) และ วิธีจำเพาะอื่น ๆ โดยในตอนนี้จะกล่าวถึง การแตกตัวเป็นไอออน
          มีวัสดุหลายชนิดที่แตกตัวเป็นไอออนได้ แต่ที่จะนำมาใช้ในเครื่องตรวจหารังสีได้นั้น ประจุที่เกิดจากรังสี จะต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของสนามไฟฟ้าด้วย ซึ่งแก๊สเติมเต็มเงื่อนไขนี้ได้โดยง่าย และเครื่องตรวจหา ที่ใช้การแตกตัวเป็นไอออนรุ่นแรก ๆ ก็เป็นแบบบรรจุด้วยแก๊ส โดยแบบที่ง่ายที่สุด คือ “ห้องการแตกตัวเป็นไอออน” (ionization chamber) และในยุคนั้นก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการศึกษารังสีเอกซ์ในยุคแรก ๆ ยกตัวอย่างเมื่อปี 1910 วิคเตอร์ เฮสส์ (Victor Hess) ชาวออสเตรีย-อเมริกัน ก็ใช้ห้องการแตกตัวเป็นไอออนขึ้นบอลลูนไปวัดรังสี เพื่อพิสูจน์ว่าบนฟ้ามีรังสีสูงกว่าบนพื้นดินเสียอีก และเขาก็คือ ผู้ค้นพบพร้อมกับตั้งชื่อ ให้กับรังสีจากสวรรค์นี้ว่า รังสีคอสมิก (cosmic radiation หรือ cosmic rays)
Hess, right, prior to one of his ten balloon trips to measure atmospheric ionization levels.
วิคเตอร์ เฮสส์ ขึ้นไปกับบอลลูนด้วยความสูงถึง 17,500 ฟุต รวม 10 ครั้ง ระหว่างปี 1911 ถึง 1913
          ปี 1908 เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (Ernest Rutherford) และ ฮันส์ ไกเกอร์ (Hans Geiger) อธิบายเครื่องนับรังสีแอลฟาใช้ไฟฟ้าเป็นครั้งแรก ครั้งนั้นทำเป็นทรงกระบอก จากนั้นถึงปี 1912 ปรับปรุงเป็นทรงกลม และก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งในปี 1913 เมื่อพัฒนาเครื่องนับอนุภาคบีตาได้สำเร็จ
          ปี 1928 ไกเกอร์ และ วอลเทอร์ มึลเลอร์ (Walther Mueller) ก็ประดิษฐ์ เครื่องนับรังสีบรรจุแก๊ส (gas-filled counter) แบบใหม่ ที่ตอบสนองต่อเหตุการณ์เดี่ยวที่เกิดจากรังสีเหนี่ยวนำได้ โดยให้สัญญาณออกมาในระดับสูง เรียกอุปกรณ์นี้ว่า เครื่องนับไกเกอร์-มึลเลอร์ (Geiger-Muller counter) หรือ เครื่องนับจีเอ็ม (GM counter) ซึ่งพัฒนากันต่อไปตลอดทศวรรษ 1930 และใช้กันกว้างขวางเนื่องจาก ผลิตง่าย ใช้ง่าย และราคาถูก อย่างไรก็ดี เครื่องนับจีเอ็มใช้วัดพลังงานของรังสีไม่ได้โดยตรง และจำกัดวัดรังสีได้อัตราต่ำ ๆ แต่ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อเป็นการวัดง่าย ๆ และมีงบประมาณน้อย
          การพัฒนาเครื่องตรวจหาแบบบรรจุแก๊สมีความเข้มข้นในทศวรรษ 1940 เริ่มตั้งแต่ปี 1940 ชาวออสเตรีย-อังกฤษชื่อ ออทโท ฟริช (Otto Frisch) ประดิษฐ์ Frisch grid ionization chamber ใช้วัดสเปกตรัมของรังสีแอลฟา แต่ก็ยังใช้งานได้จำกัด จนถึงปลายทศวรรษ การคิดค้นจึงบรรลุถึงแบบที่ 3 เรียกว่า เครื่องนับรังสีแบบสัดส่วน (proportional counter) ใช้วิธีเพิ่มจำนวนประจุที่เกิดในแก๊ส ซึ่งมีประโยชน์มาก สำหรับหาสเปกตรัมของ รังสีเอกซเรย์พลังงานต่ำ เครื่องวัดแบบนี้ยังใช้อย่างกว้างขวางในปัจจุบัน ในห้องปฏิบัติการตรวจวัดรังสีแอลฟา และรังสีบีตาทั่วไป แต่ไม่มีใช้แล้ว ถ้าเป็นงานที่ต้องการความแม่นยำสูง
เครื่องนับรังสีแบบสัดส่วน
เมื่อรังสีชนิดก่อไอออน ผ่านทางหน้าต่าง (thin window) เข้าไปในหลอด ทำให้ โมเลกุลแก๊สในหลอด แตกตัวเป็น ไอออนบวก กับ อิเล็กตรอน สนามไฟฟ้า กำลังสูงภายในหลอด ระหว่างขั้วบวก และขั้วลบ จะเร่งไอออนบวกไปที่แคโทด และอิเล็กตรอนไปที่แอโนด ซึ่งระหว่างทาง ยังสามารถชนกับแก๊ส ทำให้เกิดแตกตัวเป็นไอออนอีก รุนแรง เหมือนหิมะถล่ม ผลคือ ทำให้เกิด กระแสไฟฟ้ารุนแรง ในช่วงสั้น ๆ (short, intense pulse of current) ไหลเหมือนน้ำตก (cascade) จากขั้วลบไปยังขั้วบวก ซึ่งวัดหรือนับไว้ได้

โครงเรื่องจาก Detecting and measuring ionizing radiation – a short history โดย F.N. Flakus, IAEA BULLETIN, VOL 23, No 4

โพสต์เมื่อ : 19 ธันวาคม 2554