|  1895 
                    8 พฤศจิกายน วิลเฮล์ม คอนราด เรินต์เกน (Wilhelm Konrad Roentgen) ค้นพบรังสีเอกซ์ 1896 
                    3 มกราคม เรินต์เกน เผยแพร่รายงานการค้นพบรังสีเอกซ์สู่สาธารณะกุมภาพันธ์ อองรี       แบ็กเกอแรล (Henri       Becquerel) ค้นพบ ปรากฏการณ์กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity)3 มีนาคม ทอมัส       เอดิสัน (T.A.       Edison) และ W.J. Morton รายงานเป็นครั้งแรก       ว่ารังสีเอกซ์อาจก่อความเจ็บป่วย โดยพบกรณีทำความเสียหายแก่ดวงตา14 มีนาคม F. Battelli กังวลถึงความเป็นไปได้ของการบาดเจ็บจากรังสีเอกซ์10 เมษายน J. Daniel สังเกตอาการผมร่วงหมดศีรษะ (epilation) จากการรับรังสีเอกซ์18 เมษายน L. G. Stevens สังเกตผลต่อผิวหนังเป็นครั้งแรกกรกฎาคม W.H.       Rollins เป็นครั้งแรกที่ใช้อุปกรณ์ป้องกันรังสีเอกซ์จาก       แผ่นแก้วชนิดมวลหนัก (heavy glass plate) สำหรับป้องกันตา       ขณะถ่ายภาพรังสีฟันH.D.       Hawks รายงานการบาดเจ็บ (แผลไหม้) โดยบังเอิญ หลายกรณี18 พฤศจิกายน E. Thomson เจตนาทดลองเหนี่ยวนำให้เกิดการบาดเจ็บ       (แผลไหม้) 
                    
                      | 
                          L.         Benoist ใช้ อิเล็กโตรสโคปแบบแผ่นทองคำเปลว (gold leaf electroscope) สำหรับวัดการแตกตัวเป็นไอออน | 
 |  1897 
                    E. Dorn ใช้ เทอโมมิเตอร์อากาศ (air       thermometer) วัดการถ่ายโอนพลังงานโดยรังสีเอกซ์ 1898 
                    มกราคม E. Thomson ใช้ตัวกรองอะลูมิเนียมเป็นอุปกรณ์ป้องกันรังสี 
                    
                      | 
                          พฤษภาคม F.H. Williams เสนอแนะการปรับสายตาในที่มืด (dark    adaptation) ก่อน การดูภาพรังสีบนจอ (fluoroscopy) |     | 
 |  
                      | "...แพทย์ผ่าตัดใช้ฟลูออโรสโคปหาตำแหน่งผิดปกติ..."  |   |  
                    กรกฎาคม W.H.       Rollins ใช้ตะกั่วหุ้มตัวเรือนหลอดเอกซเรย์และคอลลิเมเตอร์กรกฎาคม ปีแอร์และมารี       กูรี (Pierre and       Marie Curie) บัญญัติคำว่า กัมมันตภาพรังสี (radioactivity)ธันวาคม ปีแอร์และมารี       กูรี ค้นพบธาตุเรเดียม ปอล วียาร์ (Paul Villard) ค้นพบรังสีแกมมา 1899 
                    เมษายน J. Dennis เจ้าหน้าที่ถ่ายภาพรังสีได้รับอนุญาต (radiographer licensure) เสนอแนะการป้องกันรังสีแก่บุคคลทั่วไปพฤษภาคม การชดเชยจากการรักษาผิดพลาด (malpractice award) แผลไหม้จากรังสีเอกซ์สังเกตพบรังสีเอกซ์เป็นตัวก่อแก๊สโอโซนซึ่งมีอันตราย แคตาล็อกสินค้าเกี่ยวกับรังสีเอกซ์ของ บริษัท R. Friedlander Co. มีรายการอุปกรณ์ป้องกัน       (ถุงมือ เอี๊ยม ฯลฯ) 1900 
                    M.K.       Kassabian เพิ่มระยะห่างจากเป้า (target) ถึงผิวหนัง เพื่อลดการรับรังสีของผิวหนัง 1901 
                    3 มกราคม มีการกล่าวหาว่ารังสีเอกซ์ทำให้มีผู้เสียชีวิตอองรี แบ็กเกอแรล ผิวหนังไหม้เกิดจากการพกพาเรเดียมไว้ในกระเป๋าเสื้อ W.H.       Rollins ทำการทดลองสาธิตให้เห็นว่ารังสีเอกซ์ทำให้สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถึงตายได้ 1902 
                    W.H.       Rollins สาธิตรังสีเอกซ์ทำให้ลูกในครรภ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมถึงตาย 1903 
                    W.H.       Rollins ใช้วิธีให้รับรังสีเป็นช่วง ๆ (fractionated       exposure) ในการดูภาพรังสีบนจอ (fluoroscopy)S.H.       Monell เสนอแนะในสมาคมรังสีเรินต์เกนแห่งสหรัฐอเมริกา (American Roentgen Ray Society: ARRS) ให้ตั้งคณะกรรมการด้านการป้องกันรังสี  
                    
                      | 
                          วิลเลียม ครูกส์ (W.    Crookes) ประดิษฐ์กล้อง spinthariscope อุปกรณ์ชนิดแรกที่อ่านรังสีได้โดยตรง |  
 |  1904 
                    ตุลาคม C.M.       Dally เป็นผู้บุกเบิกด้านรังสีเอกซ์คนแรกที่เสียชีวิตจากการได้รับรังสีสะสมเกินขนาด 1905 
                    M.       Franklin เสนอแนะหน่วยรังสีที่ใช้พื้นฐานการแตกตัวเป็นไอออน (ionization) เป็นครั้งแรก 1906 
                    J.       Bergonie และ R. Tribondeau ผลักดันกฎว่าด้วย สภาพไวต่อรังสี (radiosensitivity) ของเนื้อเยื่อ 1907 
                    C.R.       Bardeen รายงานการกลายพันธุ์ของคางคกด้วยรังสีเอกซ์R.V.       Wagner ใช้การพกพา เพลตถ่ายรูป (photographic plate) ในกระเป๋าเสื้อ       สำหรับเฝ้าสังเกต (monitor) การได้รับรังสีเอกซ์เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด (E. Rutherford) ใช้หลอดบรรจุด้วยแก๊สสำหรับตรวจวัดรังสี 1911 
                    มารี กูรี เตรียม สารเรเดียมมาตรฐานระหว่างประเทศ (international       radium standard) และมีส่วนตั้งหน่วย คูรี (Curie) 1912  
                    T.       Christan เสนอแนวคิด ความหนาลดรังสีลงครึ่ง (half value layer) 1913 
                    W.D.       Coolidge ใช้หลอดรังสีเอกซ์ ร้อน และใช้เป้าทังสเตน ทำให้ได้ศักย์ไฟฟ้าสูงขึ้น  1915 
                    สมาคมเรินต์เกนแห่งประเทศอังกฤษ (British Roentgen Society: BRS) ลงมติให้ใช้ ข้อแนะนำการป้องกันรังสี (radiation       protection recommendations) 1920 
                    ARRS ตั้ง คณะกรรมการประจำด้านการป้องกันรังสีเอกซ์ (standing       x-ray protection committee) เป็นครั้งแรก 1921 
                    คณะกรรมการด้านการป้องกันรังสีเอกซ์และเรเดียมแห่งประเทศอังกฤษ (British       X-Ray and Radium Protection Committee) เผยแพร่ บันทึกข้อความ (memorandum) ฉบับแรก 1922 
                    ARRS ลงมติรับรอง กฎว่าด้วยการป้องกันรังสี (radiation protection       rules)G.       Pfahler ใช้ ฟิล์มแบดจ์ (film badge) สำหรับเฝ้าสังเกตการรับรังสีบุคคล (personnel monitoring) 1925 
                    A.       Mutscheller เสนอให้ใช้ "ปริมาณรังสีพอทน" (tolerance dose) เป็นครั้งแรก 1927 
                    H.J.       Muller เผยให้เห็นผลทางพันธุกรรมของรังสีJ.       Victoreen ใช้ แชมเบอร์เกิดไอออน (ionization chamber) เชิงพาณิชย์เป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา 1928 
                    ยอมรับหน่วย เรินต์เกน อย่างเป็นทางการ ก่อตั้ง คณะกรรมการด้านการป้องกันรังสีเอกซ์และเรเดียมระหว่างประเทศ (International       X-Ray and Radium Protection Committee: ICXRP) ซึ่งภายหลังจะเปลี่ยนเป็น ICRP  1929 
                    ก่อตั้ง คณะที่ปรึกษาด้านการป้องกันรังสีเอกซ์และเรเดียมแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S.       Advisory Committee on X-Ray and Radium Protection: USACXRP)       ซึ่งภายหลังจะเปลี่ยนเป็น NCRP L.S.       Taylor ประดิษฐ์ต้นแบบ เครื่องสำรวจรังสีแบบเคลื่อนย้ายได้ (portable survey meter) เครื่องแรก 1931 
                    USACXRP ตีพิมพ์ค่าเสนอแนะของการรับรังสีเป็นครั้งแรก คือ 0.2 เรินต์เกน / วัน (R/day) 1932 
                    G.       Failla เสนอแนวคิด ปริมาณรังสีพอยอมได้ (permissible dose)       ว่าให้สูงกว่าได้สำหรับบางส่วนของร่างกาย (เช่น มือ)เจมส์ แชดวิก (James Chadwick) ค้นพบนิวตรอน 1934 
                    ICXRP เสนอแนะ ปริมาณรังสีพอยอมได้ เท่ากับ 0.2 เรินต์เกน / วัน0.1 เรินต์เกน / วัน (0.5 เรินต์เกน / สัปดาห์) 1935 
                    หลุยส์ แฮโรลด์ เกรย์ (L.H. Gray) แถลงหลักการแควิตีเกิดไอออนของแบรกก์-เกรย์ (Bragg-Gray       principle of cavity ionization) 1936 
                    USACXRP เสนอแนะให้ลด       ปริมาณรังสีพอยอมได้ ลงเหลือ 0.1 เรินต์เกน / วัน  1941 
                    USACXRP เสนอแนะให้รับรอง ปริมาณรังสีทั่วตัวสูงสุด (maximum       body burden) เท่ากับ 0.1 ไมโครคูรี       สำหรับเรเดียมL.S. Taylor เสนอให้ใช้ ปริมาณรังสีพอยอมได้สูงสุด (maximum permissible       dose) เท่ากับ 0.02 เรินต์เกน / วัน 1942-1945 
                    ระยะเวลาดำเนินงานของโครงการแมนแฮตตัน (Manhattan District) 1943 
                    H.M.       Parker แสดงให้เห็นว่า ปริมาณรังสี 4 เรินต์เกน       / สัปดาห์ ทำให้บาดเจ็บได้ 1944  
                    H.M.       Parker ริเริ่มใช้ ความเข้มข้นพอยอมได้สูงสุด (maximum permissible       concentration) สำหรับ กัมมันตภาพรังสีกรณีสูดหายใจ (inhaled       radioactivity)H.M.       Parker ริเริ่มใช้ เร็ม (rem: roentgen equivalent mammal/man) และ เร็พ (rep: R?ntgen       equivalent physical)  1948 1950 จาก Chronology of the First Half Century of Radiation Protection โดย R. Kathren และ P. Ziemer  |