ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกที่ไอน์สไตน์ได้รับรางวัลโนเบล
ย้อนกลับมาปี 1919 ไอน์สไตน์หันกลับมาที่เรื่องควอนตัมว่ามีสภาพเป็นทั้งอนุภาคและคลื่น เป็นจุดเริ่มต้น ทำให้เกิด ทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัม (quantum mechanics theory) ในอีก 6 ปีต่อมา แต่ไอน์สไตน์รู้สึกว่า กลศาสตร์ควอนตัมไม่เรียบง่ายและขาดความสมบูรณ์ เพราะบอกเพียงความเป็นไปได้ ของตำแหน่งที่อยู่ หรือระดับพลังงานของอนุภาคเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นนับแต่ปี 1920 จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 1955 ไอน์สไตน์ได้หันไปค้นหากฎฟิสิกส์ที่เรียบง่ายธรรมดายิ่งกว่าที่เคยมีมา เรียกว่า ทฤษฎีสนามเอกภาพ (unified field theory) ที่จะรวมเอาแรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า อวกาศและกาล เข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด ซึ่งจนวาระสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังทำไม่สำเร็จ แต่ปัจจุบันก็มีผู้สืบต่อแนวคิดนี้ และมีความก้าวหน้าไปมาก เรียกว่า ทฤษฎีสตริง (String Theories)
วันที่ 10 ธันวาคม 1932 ไอน์สไตน์มีโอกาสเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งที่ 3 เขากับภรรยาเดินทาง จากท่าเรือ เบรเมอร์ฮาเฟน (Bremerhaven) เพื่อไปเยี่ยม สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (California Institute of Technology) ที่เมืองแพซาดีนา ด้วยขณะนั้นเป็นช่วงที่พรรคนาซีขึ้นครองอำนาจในเยอรมนี และชาวยิวอพยพหนีภัยนาซีกันขนานใหญ่ วันที่ออกเดินทางไอน์สไตน์ได้บอกกับภรรยาว่า หันกลับไปดูเถอะ คุณจะไม่ได้เห็นบ้านหลังนี้อีก ไอน์สไตน์ได้ตัดสินใจอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และไม่ได้กลับไปประเทศเยอรมนี อีกเลย ที่สหรัฐอเมริกาไอน์สไตน์ได้ตั้งรกรากอยู่ที่ เมืองพรินซ์ตัน ในมลรัฐนิวเจอร์ซีอยู่จนตลอดชีวิตของเขา โดยเขาได้งานที่ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) และได้โอนสัญชาติเป็นคนอเมริกันในปี 1941 นับเป็นการเปลี่ยนสัญชาติครั้งที่ 3 ซึ่งไอน์สไตน์น่าจะเป็นผู้ที่เปลี่ยนสัญชาติบ่อยกว่าใคร ๆ ในโลกนี้
ค.ศ. 1939 เป็นเวลาที่สร้างความทุกข์ในใจแก่ไอน์สไตน์ในภายหลังจวบชั่วอายุขัยของเขา ในปีนั้น ไอน์สไตน์ยอมลงชื่อในจดหมายถึงประธานาธิบดี แฟรงคลิน ดี. โรสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ของสหรัฐอเมริกา ตามที่เพื่อนเก่าแก่ชื่อว่า ลีโอ ซีลาร์ด (Leo Szilard) ขอร้อง เนื้อความจดหมายโน้มน้าวให้สหรัฐอเมริกา วิจัยการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ให้ได้ก่อนเยอรมนี ซึ่งต่อมาสหรัฐอเมริกาก็ประสบความสำเร็จและในเดือน สิงหาคม ค.ศ. 1945 ได้ทิ้งลูกระเบิดนิวเคลียร์ที่เมือง ฮิโรชิมา และ นางาซากิ ของญี่ปุ่น ด้วยอานุภาพการทำลายล้างสูง มีผู้เสียชีวิตในทั้ง 2 เมืองราว 2 แสนคน และยังมีผู้เจ็บป่วยจากการได้รับรังสีอีกจำนวนมาก ภายหลังจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกที่เมืองฮิโรชิมา ไอน์สไตน์กล่าวว่า ถ้ารู้ว่าเขาจะทำอย่างนี้ ผมไปเป็นช่างทำรองเท้าดีกว่า อันที่จริงสมการ E = mc2 ไม่ใช่สูตรของระเบิดนิวเคลียร์ อย่างที่เข้าใจกัน แต่เป็นสูตรที่สามารถอธิบายที่มาของพลังงานจำนวนมหาศาลที่ได้จากการระเบิดทางนิวเคลียร์ ซึ่งไอน์สไตน์กล่าวว่า ผมไม่ได้คิดว่าผมเป็นคนริเริ่มในการนำพลังงานนิวเคลียร์ออกมาใช้ ผมเพียงแต่มีส่วนในทางอ้อมเท่านั้น อันที่จริงผมคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่า การนำพลังงานนิวเคลียร์มาใช้จะเกิดในยุคของผม
จะเห็นได้ว่าไอน์สไตน์แทบไม่เคยลงไม้ลงมือเกี่ยวกับนิวเคลียร์จริง ๆ เลย แต่ผลงานของเขากลับเกี่ยวโยง กับนิวเคลียร์อย่างแนบแน่นอย่างไม่น่าเชื่อทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าชื่อของเขาจะได้รับเกียรติ นำไปตั้งเป็นชื่อธาตุ ลำดับที่ 99 ในตารางพีริออดิก มีชื่อธาตุว่า ไอน์สไตเนียม (einsteinium) ธาตุนี้ค้นพบโดย นักฟิสิกส์ชื่อ จิออร์โซ (Ghiorso) กับเพื่อนร่วมงานที่ มหาวิทยาลัยเบิร์กลี (Berkeley University) จากขยะที่เป็นเศษวัสดุหลงเหลือ จากการทดลองระเบิดเทอร์โมนิวเคลียร์ (ระเบิดไฮโดรเจน) ลูกแรกของโลก ที่เกาะปะการังชื่อว่า เอนิวีท็อก (Eniwetok) ในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 1952
สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงในปี 1945 โดยเยอรมนีแพ้ไปก่อน และต่อมาญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม เพราะบ้านเมืองถูกทำลายด้วยลูกระเบิดนิวเคลียร์ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดสงครามแนวใหม่ ในระหว่างผู้ชนะสงครามด้วยกัน ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต เรียกว่า สงครามเย็น (cold war) ซึ่งมีการแข่งขันกันสร้างสมอาวุธนิวเคลียร์ ทำให้ไอน์สไตน์รู้สึกว่าเขาสมควรชดเชยให้กับสังคมให้มากขึ้น และเขาได้อุทิศตนแก่สังคม อาทิเช่น เดือนพฤษภาคม 1946 เขาเป็นประธาน คณะกรรมการฉุกเฉินของนักวิทยาศาสตร์ด้านอะตอม (Emergency Committee of Atomic Scientists) เพื่อให้พลเรือนมีส่วนร่วมในการควบคุมการใช้พลังงานนิวเคลียร์ มีการหาทุนและเขียนบทความเผยแพร่ผลงานของกลุ่ม นอกจากนี้เขายังเรียกร้องการลดอาวุธนิวเคลียร์ วิจารณ์นโยบายสงครามเย็นของสหรัฐอเมริกา สนับสนุนองค์การสหประชาชาติ
ไอน์สไตน์เป็นชาวยิวที่ไม่ได้เคร่งศาสนาก็จริง แต่เขาได้มีโอกาสศึกษาพุทธศาสนาจากงานเขียนภาษาเยอรมัน เขียนโดย อาร์เทอร์ ชอพเพนเฮาเออร์ (Arthur Schopenhauer) ซึ่งเป็นคนแรกที่เขียนหนังสือเผยแผ่พุทธศาสนา ในยุโรปไว้ตั้งแต่ปี 1818 และไอน์สไตน์เองก็อุทิศตนให้กับพุทธศาสนาในยุโรปเป็นอันมาก โดยบอกทุกคน ให้ลองทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยยกตอนหนึ่งของพระธรรมคุณมากล่าว ที่ว่า เอหิปะสิโก ซึ่งแปลว่า ธรรมะที่ท้าทายให้พิสูจน์ หรือ come and see และไอน์สไตน์ยังกล่าวว่าศาสนาสำหรับโลกในอนาคต จะเป็นเป็นศาสนาแห่งจักรวาล ซึ่งศาสนาที่เหมาะสมก็คือศาสนาพุทธ
นอกจากสูตรและสมการคณิตศาสตร์แล้ว ไอน์สไตน์ยังแบ่งเวลาให้ชาวโลกเสมอ เขาเขียนใบรับรองให้เพื่อน และนิสิตนักศึกษา สอนเด็ก ๆ ทำการบ้าน และตอบจดหมายหลายพันฉบับจากเด็กนักเรียน เขาเล่นไวโอลินให้สถาบันกองทุนอิสราเอล เรียกร้องแผ่นดินเกิดในดินแดนปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว โดยยังต้องเคารพ ในสิทธิ์ของชาวอาหรับไว้ด้วย สนับสนุนให้มีมหาวิทยาลัยของชาวยิวในสหรัฐอเมริกา (ซึ่งต่อมาก็คือมหาวิทยาลัยชื่อว่า Brandeis University) ไอน์สไตน์ออกทีวี (ค.ศ. 1950) ในรายการ วันนี้กับคุณนายโรสเวลต์ (Today with Mrs. Roosevelt) ซึ่งเป็นรายการของอดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง คือเป็นภรรยาของอดีตประธานาธิบดีโรสเวลต์ ในรายการนี้ ไอน์สไตน์ได้เตือนผู้ชมให้ระวังพิษภัยของระเบิดไฮโดรเจน ซึ่งเป็นลูกระเบิดนิวเคลียร์แบบใหม่ที่ผลิตขึ้นได้ในขณะนั้น |