ความมั่นคง (Security)
ความมั่นคงทางนิวเคลียร์เป็นหน้าที่ของรัฐ ที่จะต้องมีหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการป้องกันและรักษาความปลอดภัย วัสดุนิวเคลียร์ และกำหนดแนวปฏิบัติด้านการรักษาความปลอดภัย ตลอดจนกำหนดให้มีการบำรุงรักษาระบบป้องกัน และรักษาความปลอดภัย ระบบการป้องกันและรักษาความปลอดภัยที่รัฐกำหนดขึ้นนั้น จะขึ้นอยู่กับการะประเมิน ภัยคุกคามจากการเข้าไปขโมยวัสดุนิวเคลียร์ หรือเข้าไปก่อวินาศกรรมในสถานปฏิบัติการทางนิวเคลียร์ นอกจากการประเมินภัยคุกคามแล้ว สิ่งที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบก็คือ ความสามารถของหน่วยงานหรือองค์กร ที่เกี่ยวข้องในการสนองตอบต่อเหตุฉุกเฉิน รวมทั้งมาตรการที่เกี่ยวข้องในระบบการจัดทำบัญชีควบคุมวัสดุนิวเคลียร์ ของรัฐ มาตรการด้านการป้องกันและรักษาความปลอดภัยจะต้องครอบคลุมวัสดุนิวเคลียร์ทั้งหมด ได้แก่ ระหว่างการใช้งาน การจัดเก็บ และระหว่างการขนส่ง
ปัจจัยที่สำคัญ ของการป้องกันรักษาความปลอดภัยสถานปฏิบัติการทางนิวเคลียร์และวัสดุนิวเคลียร์ จะต้องประกอบด้วย ปัจจัยหลักต่าง ๆ คือ กฎระเบียบและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง (ว่าด้วย ความรับผิดชอบ หน่วยงานที่รับผิดชอบ และการลงโทษ การอนุญาตและวิธีการได้รับอนุญาต) ชั้นความลับของข้อมูล และการประเมินผล ของมาตรการรักษาความปลอดภัย
มาตรการด้านความมั่นคงที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่
1. การจำแนกประเภทของวัสดุนิวเคลียร์ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่เป็นไปได้ ของวัสดุนิวเคลียร์ที่ใช้งาน และสามารถนำไปประกอบเป็นลูกระเบิดนิวเคลียร์ได้ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ ชนิดของวัสดุนิวเคลียร์ เช่น พลูโทเนียม ยูเรเนียม ส่วนผสมของไอโซโทป ปริมาณของไอโซโทปที่เกิดฟิชชันได้ รูปแบบทางกายภาพและเคมี ระดับรังสี และปริมาณ โดยจะต้องให้ความสำคัญสูงสุดกับอาคารที่เก็บหรือมีวัสดุนิวเคลียร์เป็นอันดับแรก ส่วนอาคารที่เหลือนั้น ก็ให้ความสำคัญลดหลั่นกันไป เพื่อที่จะกำหนดวิธีการป้องกันที่เหมาะสม
2. การป้องกันรักษาความปลอดภัยวัสดุนิวเคลียร์ระหว่างการใช้งานและการจัดเก็บ แนวคิดคือ การออกแบบที่ประกอบด้วยอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย วิธีการรักษาความปลอดภัย ซึ่งรวมถึง โครงสร้างงานรักษาความปลอดภัย และสมรรถนะของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และการออกแบบ สถานปฏิบัติการทางนิวเคลียร์ ซึ่งรวมถึงผังและแบบแปลนของสถานประกอบการนั้น ระดับของมาตรการการรักษาความปลอดภัย จะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับภัยคุกคาม
3. การป้องกันและรักษาความปลอดภัยสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ จากการก่อวินาศกรรม และสำหรับวัสดุนิวเคลียร์ในระหว่างการใช้งานและการเก็บรักษา การก่อวินาศกรรมต่อวัสดุนิวเคลียร์ หรือสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ จะก่อให้เกิดอันตรายจากรังสีต่อผู้ปฏิบัติงาน และอาจก่อให้เกิด สารกัมมันตรังสีรั่วไหลออกสู่สาธารณะและสิ่งแวดล้อม อันตรายจากรังสีที่เกิดขึ้นจากการก่อวินาศกรรมจะขึ้นอยู่กับ ภัยคุกคามต่อชนิดและจำนวนของวัสดุนิวเคลียร์ รวมถึงการออกแบบด้านความปลอดภัย ของสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ เพื่อให้การป้องกันหรือทำให้การเข้าถึงสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ มีปัญหาอุปสรรค หรือมีจุดมุ่งหมายเพื่อควบคุมสถานประกอบการทางนิวเคลียร์และวัสดุนิวเคลียร์ โดยใช้มาตรการการป้องกันซึ่งรวมถึงอุปกรณ์กีดขวาง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะต้องเข้าระงับเหตุหรือป้องกันการก่อวินาศกรรม ได้อย่างทันท่วงที
สถานภาพสำหรับประเทศไทย
- ประเทศไทย ยังไม่ได้ลงนามในอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง เช่น อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกัน และรักษาความปลอดภัยวัสดุนิวเคลียร์ (The Convention on Physical Protection of Nuclear Material: CPPNM) โดย สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ (ปส.) อยู่ระหว่างจัดเตรียมข้อมูลในการลงนาม ในอนุสัญญาดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศก็ได้ให้ความช่วยเหลือ ในการติดตั้งระบบป้องกันและรักษาความปลอดภัย ให้กับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยของ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน.
- สทน. ได้รับความช่วยเหลือจากกระทรวงพลังงานของประเทศสหรัฐอเมริกา (U.S. Department of Energy: U.S. DOE) ในการติดตั้งระบบรักษาความปลอดภัย ให้กับสถานที่ติดตั้งเครื่องฉายรังสีแกมมา ที่ศูนย์ฉายรังสี คลองห้า จังหวัดปทุมธานี นอกจากนั้น U.S. DOE ยังพยายามขยายความช่วยเหลือดังกล่าว ไปยังโรงพยาบาลมหาราช จังหวัดเชียงใหม่ และวชิรพยาบาล เนื่องจากมีเครื่องฉายรังสีแกมมา ที่ใช้ในทางการแพทย์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง หากมีผู้เข้าไปก่อวินาศกรรม
- สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ อยู่ระหว่างการจัดทำร่างระเบียบคณะกรรมการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ว่าด้วยวิธีการรักษาความมั่นคงของวัสดุนิวเคลียร์ในสถานที่จัดเก็บ ในระหว่างการใช้งาน ในระหว่างการขนส่ง หรือในกระบวนการแปรสภาพวัสดุนิวเคลียร์ ดังนั้น เพื่อเป็นการรองรับ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ที่อาจจะเกิดขึ้นในประเทศไทย ดังนั้น สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ในฐานะหน่วยงานที่กำกับความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ จะผลักดันให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับความมั่นคงของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ เพื่อที่จะใช้บังคับกับ สถานปฏิบัติการทางนิวเคลียร์ หรือกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ ในประเทศไทย
- ในขณะนี้ สทน. แม้จะไม่ถูกบังคับใช้ทางกฎหมายในส่วนของความมั่นคงทางนิวเคลียร์อย่างเป็นรูปธรรม แต่ปัจจุบัน สทน. มีมาตรการด้านความมั่นคงของสถานปฏิบัติการทางนิวเคลียร์ อันได้แก่ ระเบียบรักษาความปลอดภัยของ สทน. ซึ่งอ้างอิงจากระเบียบรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ พ.ศ.2552 และระเบียบของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เป็นต้น นอกจากนั้นยังใช้แนวทางจาก เอกสารของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ได้แก่ The Physical Protection of Nuclear Material and Nuclear Facilities (INFCIRC/225/Rev.4)(Corrected) เป็นแนวปฏิบัติ ด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ รวมทั้งได้ติดตั้งอุปกรณ์ด้านความมั่นคง ตามมาตรฐานของ ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ทั้งนี้ กฎกระทรวงด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ
การพิทักษ์ทางนิวเคลียร์ (Nuclear Safeguards)
การพิทักษ์ความปลอดภัยวัสดุนิวเคลียร์มีที่มาจากสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Non-Proliferation Treaty, NPT) ซึ่งประเทศไทยเข้าเป็นภาคี ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2515 โดยมีสาระสำคัญ ห้ามรัฐที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ รัสเซีย ฝรั่งเศส และจีน) ส่ง หรือช่วยให้ประเทศอื่น ๆ ผลิต หรือครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ และห้ามรัฐที่ไม่ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์รับ แสวงหา หรือขอความช่วยเหลือในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และให้รัฐที่ไม่ได้ครอบครอบอาวุธนิวเคลียร์ยอมรับข้อตกลงพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ ว่าจะไม่นำพลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติไปดัดแปลงใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ และประเทศไทยต้องปฏิบัติตามพันธกรณี ของสนธิสัญญา NPT อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการปฏิบัติตามพันธกรณี ของความตกลงเรื่อง มาตรการพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ (Safeguards Agreement) ระหว่างรัฐบาลไทย กับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) นอกจากนี้ไทยได้ลงนามพิธีสารเพิ่มเติม (Additional Protocol) ของความตกลงพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์แล้วเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2548
การพิทักษ์ความปลอดภัยภายใต้ข้อตกลงของสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ มีวัตถุประสงค์ทางเทคนิคคือ เพื่อการตรวจพบอย่างทันท่วงทีเมื่อมีการดัดแปลงวัสดุนิวเคลียร์จากกิจกรรมทางนิวเคลียร์ในทางสันติ ไปใช้ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ หรือวัตถุระเบิดทางนิวเคลียร์ หรือใช้อย่างไม่ทราบวัตถุประสงค์ ซึ่งการตรวจพบตั้งแต่แรก ๆ จะช่วยป้องกันการเบี่ยงเบนหรือดัดแปลงการใช้วัสดุนิวเคลียร์และสถานปฏิบัติการ
ในการพิทักษ์ความปลอดภัยวัสดุนิวเคลียร์นั้น รัฐต้องรายงานปริมาณวัสดุนิวเคลียร์พิเศษ ตามรูปแบบและตามระยะเวลา ที่กำหนดไว้ในข้อตกลงเพิ่มเติมเฉพาะกรณี (Subsidiary Arrangement) เพื่อส่งมอบต่อ ให้ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ และทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ จะเป็นผู้เก็บรักษารายงานดังกล่าวไว้ เพื่อเป็นหลักฐานในการตรวจสอบการพิทักษ์ความปลอดภัยวัสดุนิวเคลียร์ ภายใต้สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ส่วนสถานปฏิบัติการทำหน้าที่ในการจัดทำบัญชีวัสดุนิวเคลียร์ และระเบียนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุนิวเคลียร์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้รัฐ และทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ ในการตรวจสอบ |