| วิวัฒนาการของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์  | 
            
              | สุรศักดิ์ พงศ์พันธุ์สุขกลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์
 สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
 | 
            
              | จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.9  (ต่อมาประกาศเป็นขนาด 9.0) และคลื่นสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม  2554 และส่งผลกระทบต่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลี่ยร์ของโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ  ซึ่งเป็น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเดือด (boiling water reactor หรือ BWR) และจัดเป็น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นที่ 2 บทความนี้ขอเสนอวิวัฒนาการของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นต่าง  ๆ | 
            
              | 
                
                  
                    |  |  |  
                    |  | ภาคตัดขวางตัวคลุม  (Containment) เครื่องปฏิกรณ์ BWR Mark I แบบเดียวกับเครื่องปฏิกรณ์หน่วย  1 ถึง 5 ที่ฟุกุชิมะ |  | 
            
              | ความเป็นมาของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ว่ามีวิวัฒนาการมาอย่างไรที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้  จะเน้นให้เห็นปรัชญาความคิดในการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีวิวัฒนาการด้านความปลอดภัย ที่สูงขึ้นเรื่อย  ๆ โดยเสนอตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อน-หลัง  นับตั้งแต่มีการสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เครื่องแรก ของโลกเป็นต้นมา | 
            
              | 
                2 ธันวาคม ค.ศ.  1942 สหรัฐอเมริกาสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เครื่องแรกของโลก ชื่อว่า ชิคาโกไพล์-1 (Chicago Pile-1)1945 พลังงานนิวเคลียร์ก็ถูกนำไปใช้ในทางทหาร  ได้แก่การสร้างลูกระเบิดอะตอม (atomic bomb) ที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่  2ธันวาคม 1951 เดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ผลิตเชื้อเพลิง (breeder  reactor) ขนาดเล็กชื่อว่า EBR-1 (Experimental  Breeder Reactor-1) สำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าที่ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมไอดาโฮ (Idaho Engineering Laboratory) ให้พลังงานไฟฟ้าแก่หลอดไฟฟ้าได้  4 ดวง1954 สหรัฐอเมริกาได้เข้าประจำการเรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำแรกของโลกชื่อว่า  U. S. S.  Nautilusบริษัทผลิตไฟฟ้าของเอกชน  เช่น เวสติงเฮาส์ (Westinghouse)  และเจเนอรัลอิเล็กทริก (General Electric หรือ GE) ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในเชิงพาณิชย์27 มิถุนายน 1954  โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกของโลกชื่อว่า AM-1 เปิดให้บริการในประเทศรัสเซีย  ที่เมือง Obninsk เป็นแบบทำให้เย็นด้วยน้ำ (water  cooled) และหน่วงความเร็วนิวตรอนด้วยแกรไฟต์ (graphite-moderated)  และเป็นเครื่องต้นแบบของเครื่องปฏิกรณ์แบบแชนแนลแกรไฟต์ (graphite  channel reactor) หรือในภาษารัสเซียใช้ว่า RBMK (reaktor bolshoy moshchnosti kanalniy) ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ที่เชอร์โนบิลในระหว่างสงครามโลกครั้งที่  2 ประเทศอังกฤษพัฒนาเชื้อเพลิงเป็นโลหะยูเรเนียมธรรมชาติ  หน่วงความเร็วนิวตรอนด้วยแกรไฟต์ และทำให้เย็นด้วยแก๊ส เรียกว่าแบบ Magnox (Magnesium non-oxidising) และจัดเป็นเครื่องปฏิกรณ์ผลิตเชื้อเพลิงจนถึงปัจจุบันจึงนับได้ว่าอุตสาหกรรมด้านพลังงานนิวเคลียร์ของโลกมีอายุมาได้  5 ทศวรรษแล้ว  โดยมีการพัฒนาและปรับปรุงด้านเทคโนโลยีของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์มาเป็นลำดับ กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา (U.S.  Department of Energy)  และอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์ ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จำแนกประเภทการออกแบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ออกเป็น 4 ชั่วรุ่น หรือ ยุค (generations)รุ่นที่ 1 (Generation I)  
                  
                    เป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เชิงพาณิชย์ต้นแบบที่ใช้ในช่วงคริสต์ทศวรรษ  1950 และ 1960 สหรัฐอเมริกาซึ่งผูกขาดยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ (enriched  uranium) กองทัพเรือได้พัฒนา เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำอัดความดัน (pressurized water reactor  หรือ PWR) สำหรับใช้กับเรือดำน้ำ  เป็นแบบหน่วงความเร็วนิวตรอนได้ด้วยน้ำธรรมดา (น้ำมวลเบา light water หรือ H2O) จึงมีชื่อเรียกว่าเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำมวลเบา (light-water  reactor หรือ LWR) เครื่องต้นแบบชื่อ Mark-1  นำแบบไปสร้าง เครื่องสาธิตเครื่องแรก ที่เมือง ชิปปิงพอร์ต (Shippingport) มลรัฐเพนซิลเวเนีย1957-1963 ห้องปฏิบัติการแห่งชาติอาร์กอนน์ (Argonne  National Laboratory) พัฒนาเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำเดือด (boiling water reactor หรือ BWR) เจเนอรัลอิ-เล็กทริกได้นำไปออกแบบสร้างในเชิงพาณิชย์เป็นเครื่องแรกชื่อว่า Dresden-11956 อังกฤษพัฒนา Magnox  เครื่องแรกมีชื่อว่า Calder Hall-1 อังกฤษมีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ประเภทนี้  26 เครื่อง และเลิกสร้างขึ้นใหม่ไปตั้งแต่ ค.ศ. 1963 โดยหันมาพัฒนา เครื่องปฏิกรณ์ขั้นสูงแบบระบายความร้อนด้วยแก๊ส (Advanced Gas-cooled Reactor หรือ AGR) ซึ่งใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียมออกไซด์เสริมสมรรถนะ  ก่อนที่จะมายอมรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำมวลเบา คือ PWR และ BWR ของสหรัฐอเมริกา1962  แคนาดาพัฒนาเครื่องต้นแบบเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบน้ำมวลหนัก (heavy-water reactor หรือ HWR) มีชื่อว่า แคนดู (CANDU ย่อมาจาก Canada Deuterium Uranium) ใช้ยูเรเนียมธรรมชาติ เป็นเชื้อเพลิง และใช้น้ำมวลหนัก (heavy-water  หรือ D2O)  เป็นทั้งตัวทำให้เย็น และตัวหน่วงความเร็วนิวตรอน1964 รัสเซียพัฒนาจากเครื่องต้นแบบ  AM-1 มาเป็นเครื่องแรก เริ่มใช้งานที่แคว้น Ural1964  รัสเซียพัฒนา PWR (ในรัสเซียเรียกว่า VVER) เริ่มใช้งานในแคว้น Volgaฝรั่งเศสเริ่มต้นแบบเดียวกับอังกฤษ  กล่าวคือ เป็นเทคโนโลยีคล้ายกับ Magnox ก่อนจะเปลี่ยนไปพัฒนา PWR จนเป็นผู้ผลิตเชื้อเพลิงยูเรเนียมเสริมสมรรถนะรายใหญ่ของโลก | 
            
            
              | เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของรุ่นที่  1 นี้ ปัจจุบันทั่วโลกยังคงมีเหลือใช้งานอยู่ 8  เครื่อง ในประเทศอังกฤษเพียงประเทศเดียวเท่านั้น | 
            
              | 
                รุ่นที่ 2 (Generation II)
                    
                      เป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเชิงพาณิชย์ที่เริ่มพัฒนามาตั้งแต่ในรุ่นที่  1 และทยอยออกมาใช้ในช่วง คริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980 และยังมีการใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันนี้ 1973  รัสเซียพัฒนาจากเครื่องต้นแบบ AM-1 มาเป็นเครื่องขนาดใหญ่คือ RBMK ขนาด 1,000 เมกะวัตต์ นับแต่นั้น RBMK  มีใช้แพร่หลายในยุโรปตะวันออกเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในรุ่นที่  2 ในยุโรปตะวันออกส่วนใหญ่เป็นแบบ RBMK นอกนั้นส่วนใหญ่จะเป็น LWR ซึ่งมี 2 แบบ คือ PWR (ร้อยละ 65 ทั่วโลก) และ BWR (ร้อยละ 23 ทั่วโลก) และอีกแบบหนึ่งก็คือ HWR หรือ CANDU ของแคนาดา โดย CANDU-6 เป็นรุ่นล่าสุดและปัจจุบันมีใช้ในประเทศจีน รุ่นนี้เป็นรุ่นต้นแบบที่ใช้พัฒนาไปสู่รุ่นที่  3รุ่นที่ 3 (Generation III)
                    
                      เป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่ปรับปรุงจากรุ่นที่  2 นำมาออกแบบใน 2 แนวทาง 
                  เป็นการออกแบบที่เน้นด้านความปลอดภัยเชิงแพสสีฟ  เรียกว่า การออกแบบเชิง แพสสีฟ (passive-design)  ซึ่งหากเกิดความผิดปกติระหว่างเดินเครื่องแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือ ไปสั่งหรือควบคุมแก้ไขเหตุการณ์  แต่จะใช้หลักธรรมชาติ เช่น ความโน้มถ่วง (gravity) การพาแบบธรรมชาติ (natural convection) หรือความต้านทานต่ออุณหภูมิสูง (resistance to high temperature) มาทำให้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หยุดการทำงานได้เอง เป็นการออกแบบเชิงก้าวหน้าหรือขั้นสูง (advanced design) เน้นการพัฒนาศักยภาพ ของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่มีใช้อยู่ให้สูงขึ้นมากที่สุด  ซึ่งบางทีก็ผนวกเอาการออกแบบเชิงแพสสีฟ เข้าไว้ด้วย การออกแบบเชิงก้าวหน้าหรือขั้นสูงนั้นก็เช่น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขั้นสูงแบบน้ำเดือด (advanced boiling  water reactor หรือ ABWR) และ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขั้นสูงแบบน้ำอัดความดัน (advanced pressurized water reactor หรือ APWR) ตัวอย่างเครื่องปฏิกรณ์ในรุ่นที่  3 เช่น
                  
                      สหรัฐอเมริกา มีรุ่น AP-600 (AP คือ  advanced passive) ของเวสติงเฮาส์ญี่ปุ่น สร้าง ABWR  ในญี่ปุ่นและไต้หวัน นและบริษัทฮิตาชิออกแบบ ABWR-600 เป็นแบบที่มี  standardized  features:ซึ่งค่าก่อสร้างถูกลงและใช้เวลาก่อสร้างเพียง 34 เดือนเกาหลีใต้ สร้าง APWR เรียกว่ารุ่น  APR-1400 รัสเซียโดยรัฐวิสาหกิจที่มีชื่อว่า  Gidropress ได้พัฒนา APWR รุ่น V-392 (advanced VVER-1000) และกำลังสร้างอยู่ในประเทศอินเดีย  อีกรุ่นคือ VVER-91 กำลังก่อสร้างในประเทศจีนจำนวน 2 เครื่อง และเข้าแข่งประมูลที่ประเทศฟินแลนด์  ล่าสุด Gidropress กำลังพัฒนารุ่น V-448 หรือ VVER-1500 คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ใน  ค.ศ. 2012 ฝรั่งเศสกับเยอรมนีใช้มาตรฐานยูโรมีความปลอดภัยสูงมาก  มีการออกแบบอยู่ 4 แบบ คือ (1) European Pressurized Water Reactor (EPR) มีประสิทธิภาพอุณหภาพ  (thermal efficiency) สูงสุดถึงร้อยละ 36 ซึ่งสูงกว่า LWR ใด ๆ ที่เคยมีมา โดยเครื่องแรกจะสร้างที่เมือง Olkiluoto ประเทศฟินแลนด์ และเครื่องที่ 2 ที่เมือง Flamanville ในฝรั่งเศสเอง (2) SWR 1000 เป็น advanced  BWR พร้อมออกสู่ตลาดแล้ว (3) เจเนอรัลอิเล็กทริกได้นำ  ABWR มาพัฒนาเป็น European Simplified Boiling Water  Reactor รู้จักกันในชื่อว่า Economic & Simplified BWR  (ESBWR) และ (4) เวสติง-เฮาส์ร่วมกับกลุ่มสแกนดิเนเวียกำลังพัฒนา BWRแคนาดา มี CANDU รุ่นที่ 3  ออกแบบไว้ 2 แบบคือ  (1) CANDU-9 สามารถใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียมธรรมชาติ  ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะต่ำ หรือใช้เชื้อเพลิงออกไซด์ผสม (mixed oxide fuel หรือ MOX ซึ่งมียูเรเนียมผสมกับพลูโทเนียม) (2)  Advanced CANDU Reactor (ACR) เพิ่มคุณลักษณะบางอย่างของ PWR เข้าไป เช่น รุ่น ACR-700 ใช้การประกอบเป็นชิ้นส่วนไว้ล่วงหน้า เรียกว่า มอดูล (module) ช่วยลดเวลาก่อสร้างลงได้ 3 ปี อีกรุ่น ACR-1000จะเริ่มใช้งานได้ใน ค.ศ. 1914 รุ่น CANDU X จะพร้อมในเชิงพาณิชย์ใน ค.ศ. 2020อินเดียกำลังพัฒนา AHWR  และพัฒนาทอเรียมเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงรุ่นที่ 3+ (Generation III+)
                    
                      เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่จะมีใช้ในอนาคตตั้งแต่ประมาณ  ค.ศ. 2010 เป็นแบบที่พัฒนากันมาตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษ  1990 และในปัจจุบันยังอยู่ในขั้นออกแบบ และทดลองใช้งานอยู่  มีคุณลักษณะเป็นเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระบายความร้อนด้วยแก๊สอุณหภูมิสูง (High-Temperature  Gas-Cooled) ซึ่งสามารถใช้เชื้อเพลิงที่มีทอเรียมเป็นพื้นฐานได้  เช่น ยูเรเนียมสมรรถนะสูง (high-enriched uranium หรือ HEU) กับทอเรียม ยูเรเนียม-233 กับทอเรียม และพลูโทเนียมกับทอเรียมก็ได้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่น  3+ ได้แก่ เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์มอดุลาร์แบบถังกรวด (pebble-bed modular  reactor หรือ PBMR) และเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ฮีเลียมมอดุลาร์แบบกังหันแก๊ส  (Gas Turbine-Modular Helium Reactor; GT-MHR)คุณลักษณะที่สำคัญในเครื่องปฏิกรณ์รุ่น  3+ ก็คือ การออกแบบเป็นมอดูล ที่ทำให้ต้นทุนต่ำลง และลดเวลาก่อสร้าง  | 
            
              | 
                
                  |  |  
                  | ผังสรุปเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทั้ง    4 รุ่น  |  |