ประโยชน์ของ CT scan
ด้วยความสามารถในการสร้างภาพที่มีส่วนประกอบของเนื้อเยื่อ กระดูก และระบบหลอดเลือดอยู่รวมกัน จึงทำให้ CT scan มีความสำคัญในการวินิจฉัยโรค และให้รายละเอียดแก่แพทย์ได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่ว่าจะเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด โรคกระดูก การได้รับอุบัติเหตุ และการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง ซึ่งนอกจากการใช้งานทางการแพทย์แล้ว CT scan ยังสามารถนำมาใช้ในการตรวจสอบวัสดุต่าง ๆ โดยไม่ทำลาย (nondestructive materials testing) ตัวอย่างเช่น โครงการ DigiMorph ของมหาวิทยาลัยเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้ใช้ประโยชน์จากเครื่อง CT scan ในการศึกษาตัวอย่างทางชีววิทยาและธรณีวิทยา เช่น ซากฟอสซิลและหิน นอกจากนี้ ที่น่าสนใจไม่น้อยคือการใช้ศึกษามัมมี่เพื่อจำลองรูปหน้าจากโครงกะโหลกศีรษะ ดังนั้นข้อแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ การทำ CT scan เป็นวิธีการแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้สามารถแสดงภาพ ภายในสมองมนุษย์ ในขณะที่การถ่ายเอกซเรย์ไม่สามารถแสดงรายละเอียดภายในสมองได้
CT contrast
ในบางครั้งของการถ่ายภาพ ผู้ป่วยจะได้รับ CT contrast agents เช่น ไอโอดีน หรือ แบเรียมซัลเฟต เพื่อทำให้อวัยวะ ที่ต้องการศึกษามีความทึบ และสามารถถ่ายภาพได้ชัดเจนมากขึ้น การให้ contrast agents สามารถทำได้หลายทาง เช่น ทางหลอดเลือด ทางการรับประทาน ทางทวารหนัก หรือทางการสูดดม การให้ทางเส้นเลือด มักใช้ในการ highlight ระบบหลอดเลือด หรือเน้นโครงสร้างของอวัยวะ เช่น สมอง ไขสันหลัง ตับ และไต เมื่อการสแกนเสร็จสิ้น ตับและไตก็จะ ขับสารเหล่านี้ออกไปจากร่างกาย การให้ทางการรับประทานจะใช้ highlight อวัยวะในระบบทางเดินอาหารซึ่งผู้ป่วย มักจะต้องอดอาหารก่อนทำการสแกนเป็นเวลาหลายชั่วโมง อาการแทรกซ้อนจากการใช้ contrast agent สามารถพบได้ นผู้ป่วยบางรายและมักไม่ค่อยรุนแรง เช่น มีอาการคันตามร่างกาย หายใจลำบาก มีอาการบวม หรือท้องผูกได้เล็กน้อย
การได้รับรังสีจากการทำ CT scan
แรกเริ่มที่มีการนำ CT scan มาใช้นั้นส่วนมากจะเป็นการใช้ถ่ายภาพภายในกะโหลกศีรษะและเครื่องสแกนรุ่นแรก ๆ ยังทำงานได้ช้ามาก ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะได้ภาพมาหนึ่งชิ้น ทำให้ผู้ป่วยได้รับรังสีเป็นปริมาณมาก และมักไม่สะดวกที่ต้องนอนนิ่ง ๆ เป็นเวลานานเพื่อให้คุณภาพของภาพที่ได้ออกมาดี แต่ในปัจจุบันเครื่องสแกนรุ่นใหม่ ๆ ได้มีการพัฒนาไปมากจนสามารถสแกนได้หลาย ๆ ภาพในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ภาพที่ได้ก็มีคุณภาพคมชัดดีขึ้น และยังเป็นผลดีที่ทำให้ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีน้อยลงไปด้วย
เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่า ศักยภาพของรังสีที่ทำให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออน (ionizing radiation) ที่มีผลทางชีววิทยา จะขึ้นอยู่กับพลังงานจากรังสีที่ถูกดูดกลืนต่อหน่วยของมวลในเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ ซึ่งถูกเรียกว่า absorbed dose และมี หน่วยวัดเป็น เกรย์ (Gray, Gy) หรือ มิลลิเกรย์ (milliGrays, mGy) ซึ่ง 1 Gy มีค่าเท่ากับ 1 จูลต่อกิโลกรัม (joule per kilogram) เมื่อเปรียบเทียบความเสี่ยงของการได้รับรังสีเพียงบางส่วนหรือทั่วร่างกาย ปริมาณของรังสีที่ร่างกายได้รับ (effective dose) จะถูกนำมาใช้ และจะถูกเรียกเป็น ปริมาณรังสีสมมูล (equivalent dose) มีหน่วยเป็น ซีเวิร์ต (Sieverts, Sv) หรือ มิลลิซีเวิร์ต (milliSieverts, mSv) โดยซีเวิร์ตเป็นผลคูณระหว่างปริมาณรังสีดูดกลืนที่มีหน่วยเป็นเกรย์ กับค่าปรับเทียบที่แตกต่างกันตามชนิดและพลังงานของรังสี และสำหรับรังสีเอกซ์มีค่าเท่ากับ 1 ดังนั้น 1 mSv มีค่าเท่ากับ 1 mGy
ตามข้อแนะนำปัจจุบันของ คณะกรรมาธิการระหว่างประเทศด้านการป้องกันรังสี (International Commission on Radiological Protection, ICRP) บุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านรังสีจะถูกกำหนดให้มีค่าปริมาณรังสีสมมูล ได้ไม่เกิน 20 มิลลิซีเวิร์ตต่อปี แต่ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ทราบว่าการทำ CT scan คือการได้รับรังสีเอกซ์ โดยทั่วไป การถ่ายภาพเอกซเรย์ปอดหนึ่งครั้งจะได้รับรังสีปริมาณ 0.02 มิลลิซีเวิร์ต ส่วนการทำ CT scan บริเวณช่วงอกอาจจะ ได้รับรังสีสูงถึง 10 มิลลิซีเวิร์ต ซึ่งสูงกว่าการถ่ายเอกซเรย์ถึง 500 เท่าเลยมีเดียว ทำให้เป็นเรื่องน่าคิดว่า แม้การทำ CT scan จะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยไม่ให้ผู้ป่วยต้องตายด้วยโรคมะเร็ง แต่การทำ CT scan บ่อย ๆ อาจจะทำให้เกิดความเสี่ยง ต่อการป่วยเป็นโรคมะเร็งได้ในอนาคต เคยมีผู้รู้คำนวณไว้ว่า การได้รับรังสีเอกซ์จากการทำ CT scan ทั่วร่างกายหนึ่งครั้ง จะได้รับรังสีปริมาณ12 มิลลิซีเวิร์ต ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณรังสีเฉลี่ย 20 - 40 มิลลิซีเวิร์ต ที่ทำให้เกิดมะเร็งในชาวญี่ปุ่น ผู้รอดชีวิตจากระเบิดปรมาณูเลยทีเดียว ในขณะที่มีผู้ประมาณการไว้ว่า ในกลุ่มประชากรที่ได้รับรังสี 10 มิลลิซีเวิร์ต เพียงครั้งเดียว จะมีโอกาสเสี่ยงตลอดชีวิตต่อการเกิดมะเร็งได้ 1 ใน 1,000 ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วยและส่วน ของร่างกายที่ได้รับรังสีด้วย เนื่องจากอวัยวะแต่ละส่วนจะมีความไวต่อรังสีไม่เท่ากัน ในขณะที่ความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งจากสาเหตุอื่น ๆ รวมกันทั้งหมดมีได้ถึง 42 ใน 1,000
ถ้าคุณคิดว่าเสี่ยง
หากพิจารณาในมุมกลับกัน ความเสี่ยงนี้อาจจะไม่มาก หากผู้ป่วยนั้นกำลังมีอาการเจ็บป่วยร้ายแรงหรืออยู่ในระยะที่อาจ ถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อและจำเป็นต้องทำ CT scan ในอวัยวะที่ต้องการจริง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลมาประกอบการรักษาหรือ หาทางช่วยชีวิต เช่น การได้รับอุบัติเหตุรุนแรงที่ศีรษะ หรือการตรวจดูการแพร่กระจายของมะเร็งในช่องท้อง แต่การทำ CT scan ทั่วร่างกายเพื่อค้นหาสาเหตุของโรคที่อาจหลบซ่อนหรือค้นหามะเร็งในระยะแรกเริ่มในบุคคลที่ยังมีสุขภาพดีอยู่ อาจเกิดผลเสียมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ ยิ่งได้รับการสแกนบ่อยครั้งเท่าไร ความเสี่ยงระยะยาวในอนาคตในการเกิด โรคมะเร็งจากการได้รับรังสีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการทำ CT scan ก็ต้องตัดสินใจกันเอาเองว่าความเสี่ยงอันไหน มีมากกว่ากัน ระหว่างโรคที่กำลังเป็นอยู่ หรือโรคมะเร็งที่อาจเกิดหรือไม่เกิดขึ้นก็ได้ในอีก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า และมะเร็งที่เกิดขึ้นอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการทำ CT scan ที่ผ่านมาเลยก็ได้ ในอีกแง่หนึ่งหากความเสี่ยงนี้มีจริง บริษัทประกันชีวิตและสุขภาพคงต้องคิดหนักถึงภาระที่ต้องรับผิดชอบในอนาคต ซึ่งผู้ที่ต้องทำ CT scan ควรจะได้ทราบข้อมูลเหล่านี้เอาไว้
บทสรุป
ในปัจจุบันเทคโนโลยีของเครื่อง CT scan ได้ก้าวหน้าไปมาก และมีราคาถูกลงกว่าเมื่อก่อน สามารถทำได้ ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ ทั่วไป ในส่วนการศึกษาวิจัยก็ได้มีการนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกับการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ อีกหลายชนิด ที่จะขอกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
การทำ CT scan เป็นการตรวจร่างกายที่ต้องเกี่ยวข้องกับรังสี ในขณะเดียวกันรังสีก็เหมือนดาบสองคม ที่ให้ทั้งคุณและโทษ การได้รับประโยชน์เพื่อใช้วินิจฉัยโรคจึงควรมีการชั่งน้ำหนักกับการได้รับรังสีปริมาณสูง ดังคำโบราณที่ว่า รู้มากยากนาน รู้น้อยพลอยรำคาญ ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้มีเจตนาทำให้ท่านผู้อ่านกลัวรังสี จนไม่ยอมรักษาโรคร้ายที่กำลังเป็นอยู่ เพียงแต่อยากให้เป็นการ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม เท่านั้นเอง
บรรณานุกรม
Brenner DJ, Elliston CD. (2004) Radiology. 232:735-738.
Brenner DJ, Hall EJ. (2007) N Engl J Med. 357:2277-2284.
Hendee WR, Ritenour ER (2002) Medical Imaging Physics. 4th edition Wiley-Liss, Inc, New York |