การทดลองของเลนาร์ด ดูเหมือนทำให้รังสีแคโทด ผ่านออกมานอกหลอด และเคลื่อนออกไปในอากาศได้ราว 10 เซนติเมตร และเคลื่อนไปในสุญญากาศได้หลายเมตร ซึ่งเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะที่จริงรังสีนี้คือรังสีเอกซ์ ที่มี การทะลุทะลวงสูงมาก ซึ่งเกิดจากรังสีแคโทด ซึ่งก็คือกระแสของอนุภาคอิเล็กตรอน ที่ระดมยิงเข้าไปยังโลหะอลูมิเนียม ที่ใช้ปิดช่องหน้าต่างและทำให้เกิดรังสีเอกซ์ได้
เนื่องจากในทศวรรษนั้นมีผู้ศึกษาหลอดรังสีแคโทดกันมาก คงมีหลายคนที่ได้เจอะเจอเข้ากับรังสีเอกซ์ที่ผ่านทะลุ ออกมาจากตัวหลอดอย่างที่เลนาร์ดประสบ การศึกษากับหลอดแบบนี้ต้องระมัดระวังรังสีเอกซ์อ่อน ๆ ซึ่งเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อใช้ความต่างศักย์ 5,000 โวลต์ขึ้นไป อย่างไรก็ดี ผู้ที่เล่นกับหลอดรังสีแคโทดและสังเกตออกว่า เขากำลังเจอะเจอ เข้ารังสีชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยพบกันมาก่อนก็มีเพียงเรินต์เกนเท่านั้น
นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1895 ซึ่งเรินต์เกนบันทึกการค้นพบไว้ว่า ในขณะที่เขาปล่อยกระแสไฟฟ้า เข้าไปในหลอด ปรากฏว่าแผ่นกระดาษเคลือบด้วยแบเรียมแพลทิโนไซยาไนด์ ที่วางอยู่ห่างไปกว่า 2 เมตรเกิดเรืองแสง ขึ้นมาได้ เพราะเขารู้ว่ารังสีแคโทดออกมาภายนอกหลอดไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เกิดการเรืองแสงนี้ จึงต้องเป็นรังสีอื่นที่ยัง ไม่มีใครรู้จักที่ผ่านออกมาจากหลอดนั้น และเขาตั้งชื่อว่ารังสีเอกซ์ เพราะยังไม่รู้ว่าธรรมชาติของรังสีชนิดนี้เป็นอย่างไร
เรินต์เกนง่วนอยู่ในห้องทดลองนั้นตลอดทั้งคืน และยังทั้งกินและนอนขลุกอยู่ในห้องทดลองนั้นอีกช่วงเวลาหนึ่ง จนพบว่า รังสีนี้เกิดขึ้นเมื่อรังสีแคโทดไปกระทบเข้ากับผนังหลอด หรือเมื่อใส่แผ่นอะลูมิเนียมบังไว้ที่ผนังหลอดก็ทำให้ เกิดรังสีนี้ได้เช่นกัน และยังพบว่า รังสีเอกซ์ของเขาทะลุผ่านของที่มีความหนาแน่นต่ำ ๆ ได้มากกว่าทะลุผ่านของที่มี ความหนาแน่นสูงกว่า เช่น สามารถทุลุผ่านเนื้อเยื่อของมือ แต่ทะลุผ่านกระดูกได้น้อยกว่า จึงปรากฏเงาของกระดูก อยู่บนแผ่นฟิล์มที่วางไว้ด้านหลังได้ เพียงไม่กี่วันเรินต์เกนก็ค้นคว้าสมบัติต่าง ๆ ของรังสีเอกซ์ได้มากมาย เช่น เขาสรุป ได้ว่า รังสีเอกซ์เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และมีพลังงานสูงกว่ารังสีอัลตราไวโอเลต ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มี พลังงานสูงสุดในขณะนั้น หรือไม่เกิดการหักเหเมื่อผ่านจากอากาศลงไปในน้ำ รวมทั้งไม่เกิดการเบนในสนามแม่เหล็ก (แสดงว่าไม่มีประจุไฟฟ้า) อีกด้วย |