ทั้ง เซอร์ไอแซก นิวตัน (Sir Isaac Newton) และ ทอมัส ยัง (Thomas Young) ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดเกี่ยวกับ ธรรมชาติของแสง เพราะจะบอกง่าย ๆ อย่างนิวตันว่าแสงเป็นอนุภาค ก็พูดไม่ได้เต็มปาก หรือจะอธิบายแท้ ๆ อย่าง ทอมัส ยัง ว่าแสงเป็นคลื่น ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะถึงแม้เมื่อตอน 5 ปีแรกของศตวรรษที่ 20 มัคซ์ พลังค์ (Max Planck) และถัดมาก็ แอลเบิร์ต ไอน์สไตน ์ (Albert Einstein) ตามลำดับ ที่ได้แสดงให้เห็นว่า แสงถูกปลดปล่อยและ ดูดกลืนในลักษณะเป็นอนุภาคกลุ่มย่อย ๆ หรือ แพกเกต (packet) ที่เรียกว่า โฟตอน (photon) แต่ทว่าการทดลอง อื่น ๆ ต่อมา กลับแสดงให้เห็นตาม ๆ กันมาว่าแสงก็ เป็นคลื่นเช่นกัน
จากนั้นพัฒนาการ ของ ทฤษฎีควอนตัม (quantum theory) ใน 2-3 ทศวรรษต่อมา ก็ประนีประนอมแนวคิดทั้งสองว่า เป็นไปได้ทั้งคู่ กล่าวคือ โฟตอนและอนุภาคย่อยกว่าอะตอม (subatomic particle) ทั้งหลาย เช่น อิเล็กตรอน โปรตอน ล้วนแสดงคุณภาพที่เติมเต็มกันและกันคือเป็นทั้งคลื่นและอนุภาค อย่างที่นักฟิสิกส์เรียกขานกันว่า เวฟวิเคิล (wavicle)
ในการอธิบายเรื่องนี้นักฟิสิกส์พากันพูดว่า ให้เลียนแบบการทดลองกับแสงข อง ทอมัส ยัง คือ การสาธิตดับเบิลสลิต ของยัง (Youngs double slit demonstration) แต่เปลี่ยนมาใช้ ลำอนุภาคอิเล็กตรอน แทนการใช้ แสง ซึ่ง กระแสของอนุภาคก็จะเป็นไปตามกฎของกลศาสตร์ควอนตัม คือจะแยกออกเป็นสองส่วนที่เล็กลงและ แทรกสอด (interference) กันและกัน และจะปรากฏเห็นเป็นแถบมืดกับสว่างทาบบนฉากแบบเดียวกับแสง อันแสดงว่าอนุภาคมี พฤติกรรมเช่นเดียวกับคลื่น |