เรื่องที่เล่ากันแพร่หลายเรื่องหนึ่งอ้างว่าชื่อคิวทีพายมาจากสูตร Qt p ตรงตัว โดย Q คือ ประจุรวม ภายในแชมเบอร์ และ t p มาจาก two pi หรือ 2 p โดย p หมายถึง มุมตัน (solid angle) เล็งจากเครื่องวัด หรือบางที t อาจหมายถึง time ก็ได้ ซึ่งเรื่องที่เล่านี้ดูจะฝันเฟื่องไปสักหน่อย
อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่าชื่อนี้ใช้ตามรูปแบบ พยัญชนะ- ตัวเลข ที่ใช้แพร่หลายในเอกสารของโครงการแมนแฮตตัน เช่น CP-XXX ซึ่งหมายถึง Chicago Pile เท่านั้นเท่านี้ ที่อ้างว่าแผลงมาเป็น Cutie Pie
อย่างไรก็ดี หลักฐานที่ชัดเจนที่สุดย่อมได้แก่เอกสารข้อมูลร่วมสมัย ในกรณีนี้ก็คือรายงานที่ยกเลิกชั้นความลับแล้วของ มณฑลทหารแมนแฮตตัน (Manhattan District) รหัส MDDC-997 Cutie Pie, A Portable Radiation Instrument เขียนขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 1945 โดย ซี.โอ. บอลลู (C.O. Ballou) พนักงานคนหนึ่งที่ห้องปฏิบัติการคลินตัน ซึ่งได้บรรยาย อย่างละเอียดถึงเหตุผล ของการพัฒนาคิวทีพายขึ้นมา เหตุผลประการหนึ่งคือ เครื่องมือนี้ต้องไม่เพี้ยนไปจาก มาตรฐานที่ ี่เทียบไว้ และเข็มชี้ที่ เลขศูนย์เสมอไม่ว่าความชื้นในอากาศจะแตกต่างกันเพียงใด ซึ่งบอลลูหมายเหตุไว้ว่า ที่คลินตัน พอตกกลางคืนความชื้นจะถึงจุดอิ่มตัวได้
ที่มหัศจรรย์มากและไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึงก็คือ บอลลูยังได้ให้อรรถาธิบายถึงชื่อคิวทีพายไว้ด้วย อุปกรณ์นี้เรียกว่า คิวทีพาย เนื่องจากมีขนาดกะทัดรัด เครื่องสำรวจรังสีส่วนใหญ่ที่มีใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีขนาดใหญ่และมี น้ำหนักมาก ทั้งนี้สาเหตุหลักมาจากน้ำหนักของแบตเตอรี่ที่ใช้ แต่คิวทีพายหนักเพียงสี่ปอนด์ รู้สึกได้แต่แรกที่ลองหิ้วขึ้นมาว่า เฮ่ย นี่มัน คิวทีพาย จริง ๆ เลยนะ ! วลีนี้ติดปากเวลาจะพูดถึงสิ่งที่เนี๊ยบสุด ๆ
นอกจากนี้ในรายงานของมณฑลทหารแมนแฮตตันอีกชิ้นหนึ่ง คือ MDDC-1059 เมื่อปี 1947 รายงานโดย เอช.ยู. ฟิชเชอร์ (H.U. Fisher) ยังมีรูปของคิวทีพายไว้ด้วย และระบุว่า อุปกรณ์นี้พัฒนาขึ้นที่ห้องปฏิบัติการคลินตันและเพิ่งยกเลิกชั้น ความลับ |