ฮาวสามารถควบคุมแสงได้เพราะความหนาแน่นและอุณหภูมิของ BEC ทำให้ห้วงหรือพัลส์ (pulses) ของแสงช้าลง (เมื่อไม่นานมานี้ เธอได้นำการทดลองไปอีกขั้นหนึ่ง คือหยุดห้วงแสงด้วย BEC ก้อนเดียว และเปลี่ยนแสงนั้นให้เป็น พลังงานไฟฟ้า ส่งเข้าไปใน BEC อีกก้อนหนึ่ง แล้วค่อยปล่อยมันออกมา) ฮาวใช้ BEC ในการค้นพบธรรมชาติของแสง และการจะนำแสงที่ถูกกักโดย BEC มาใช้ในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ อีกทั้งยังสร้างวิธีการใหม่ ๆ ในการเก็บข้อมูล
แต่ไม่ใช่ว่าการวิจัยอุณหภูมิต่ำจะใช้เพียงวิธี BEC เท่านั้น ยกตัวอย่างในฟินแลนด์ นักฟิสิกส์จูฮา ทูโอริเนียมี (Juha Tuoriniemi) ใช้สนามแม่เหล็กในการควบคุมศูนย์กลางของอะตอมโรเดียม (rhodium) และทำให้อุณหภูมิลงไปถึง 1.0x10 - 10?C เหนือจุดศูนย์เคลวิน แม้จะไม่มีสถิติของกินเนสส์กล่าวถึงความสำเร็จของทูโอริเนียมี แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ให้ เครดิตกับทูโอริเนียมีว่าได้สร้างสภาวะที่มีอุณหภูมิต่ำที่สุด ต่ำกว่าของกลุ่มเคทเทิร์ลเสียอีก แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะวัด กลุ่มอะตอม เช่น BEC หรือส่วนหนึ่งของอะตอม เช่น นิวเคลียส ในกรณีนี้
สรุป :
ฟิสิกส์ที่อุณหภูมิต่ำอาจนับได้ว่าเป็นสาขาที่ร้อนแรงที่สุดสาขาหนึ่งในวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน บางทีดูเหมือนกับว่าจุดศูนย์ ์เคลวินเป็นจุดที่น่าเข้าใกล้ แต่เคทเทิร์ลบอกว่าเขารู้ดีกว่านั้น "เราไม่ได้กำลังพยายามหรอก" "อุณหภูมิที่เราได้บรรลุในขณะนี้ เป็นความเย็นที่เพียงพอต่อการทดลองของเราแล้ว" มันไม่คุ้มค่ากับความลำบาก และตามทฤษฎีของความร้อน และกฏ เทอร์โมไดนามิกส์ (thermodynamics) นั้น อย่างไรเสียมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถึงจุดศูนย์เคลวินนั้นอย่างแท้จริง "การที่จะดูด เอาพลังงานออกมาทั้งหมด ทุกอณู เพื่อจะได้ระบบที่มีพลังงานอันเป็นศูนย์นั้น มันจะต้องใช้ทั้งอายุของจักรวาลเลยทีเดียว จึงจะทำได้"
อ้างอิงจากบทความเรื่อง The Coldest Place in the Universe, วารสาร Smithsonian, มกราคม 2551, โดย Tom Shactman
แหล่งข้อมูล :
กลุ่มของเคทเทิร์ล
กลุ่มของฮาน
Physics 2000 ของ ม. โคโลราโด
ขอขอบคุณ ดร. เกศินี เหมวิเชียร ที่ได้แจ้งให้ทราบถึงบทความที่น่าสนใจเรื่องนี้
ผู้ตรวจทาน : กชกมล อ้นมี |