ปลายปีที่แล้ว (พ.ศ. 2551) มีข่าวเล็ก ๆ ข่าวหนึ่ง [1] ในประเทศอังกฤษ ความโดยย่อมีว่า มีสภาเมืองหลายเมือง ห้ามใช้วลีภาษาละตินในหนังสือราชการ และสำหรับเมืองซอลส์เบอรี ( Salisbury) อันเป็นที่ตั้งของสโตนเฮนจ์ (stonehenge) สภาเมืองนี้ให้เลิกใช้คำ “in lieu” และ “fait accompli”
เมื่อเห็นวลี fait accompli ก็จำได้ว่าเคยอ่านพบในบทความภาษาอังกฤษของ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรโณ เรื่อง Dynamics of Thai Politics [2] มีเนื้อหาตอนหนึ่งกล่าวว่า “…it would be incorrect to take the issuance of the royal command after the power seizure by the military on 19 September 2006 as the first ever. Also, it would be a misinterpretation to regard such issuance as reflecting the King’s support for the power seizure, which was a fait accompli. ...” ซึ่งพอกล้อมแกล้มแปลได้ว่า “ ...เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ถือเอาว่าพระบรมราชโองการ ภายหลังการยึดอำนาจของคณะทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ว่าเพิ่งเคยมีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ น่าจะเป็นการ ตีความกันผิด ๆ ว่าพระราชโองการดังกล่าวสะท้อนว่าทรงสนับสนุนการยึดอำนาจ ซึ่งการยึดอำนาจครั้งนี้ มันเป็นเฟทาคองพลี...”
fait accompli ออกเสียงว่า เฟ-ทา-คอง-พลี เป็นวลีสำนวนภาษาฝรั่งเศสที่รับมาใช้ในภาษาอังกฤษตั้งแต่ ค.ศ. 1845 โดยริชาร์ด ฟอร์ด (Richard Ford) นำมาใช้ในหนังสือเขียนถึงการท่องเที่ยวประเทศสเปน วลีนี้แปลตรงตัวว่า ข้อเท็จจริง (fait = fact) ที่สำเร็จแล้วหรือประจักษ์แล้ว (accompli = accomplished) หมายถึง สิ่งที่กระทำสำเร็จแล้ว ก่อนที่ผู้ที่ได้รับผลจะอยู่ในฐานะที่จะทักท้วงหรือทำให้คืนกลับได้ เพราะว่า “ เรื่องมันแล้วไปแล้ว” และเฟทาคองพลี ก็ยังมีนัยของการ “ มัดมือชก” ด้วย ยกตัวอย่าง กรรมการผู้จัดการบริษัทมีนโยบายที่จะขึ้นเงินเดือนแก่พนักงาน และได้ขึ้นเงินเดือนให้แก่พนักงานไปก่อนเลย จากนั้นก็นำนโยบายไปแจ้งคณะกรรมการบริษัทให้รับทราบ แทนที่จะขออนุมัตินโยบายจากคณะกรรมการเสียก่อน
ดังนั้น บทความของ ดร.บวรศักดิ์ที่ว่า “ การยึดอำนาจครั้งนี้เป็นเฟทาคองพลี” ก็คือว่า คณะทหารได้ยึดอำนาจไปแล้ว จากนั้นก็มาขอเข้าเฝ้ากราบทูลให้ทรงทราบ ซึ่งเรื่องมันแล้วไปแล้ว ไม่อาจทำให้คืนกลับได้ และเพื่อให้บ้านเมือง ดำเนินต่อไปได้ พระเจ้าอยู่หัวจึงมีประกาศพระบรมราชโองการดังกล่าว จึงไม่ใช่เพราะว่าทรงสนับสนุนการยึดอำนาจ แต่ประการใด
ในประวัติศาสตร์นิวเคลียร์ก็มีเฟทาคองพลีที่ชัดเจนอยู่หลายเรื่อง ขอยกตัวอย่างแรก คือ การได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ใน ค.ศ. 1938 ของเอนรีโก แฟร์มี (Enrico Fermi)
ครั้งนั้นแฟร์มีได้รับรางวัลโนเบลจากผลงาน “... การแสดงให้เห็นว่ามีธาตุกัมมันตรังสี 2 ธาตุ เกิดขึ้นด้วยการระดมยิง ธาตุยูเรเนียมด้วยนิวตรอน และการค้นพบที่เกี่ยวเนื่องกันว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดได้ดีกว่า ด้วยการระดมยิงอะตอมธาตุ ด้วยนิวตรอนช้า...”
ที่ว่า “ การค้นพบที่เกี่ยวเนื่องกันว่าปฏิกิริยานิวเคลียร์เกิดได้ดีกว่าด้วยการระดมยิงอะตอมธาตุด้วยนิวตรอนช้า” ซึ่งเป็นผลงานรองนั้นไม่เป็นปัญหา เพราะถูกต้องแล้ว แต่ผลงานหลักที่ว่า “ การแสดงให้เห็นว่ามีธาตุกัมมันตรังสี 2 ธาตุ เกิดขึ้นด้วยการระดมยิงธาตุยูเรเนียมด้วยนิวตรอน” นั้น ในรายละเอียดแล้ว แฟร์มีรายงานว่า การทดลองของเขาทำให้ เกิดธาตุใหม่ 2 ธาตุที่โตขึ้นกว่ายูเรเนียม เนื่องจากนิวตรอนที่ระดมยิงเข้าไปนั้น ไปเพิ่มจำนวนนิวตรอนในนิวเคลียส (nucleus) ของอะตอมยูเรเนียม ทำให้นิวเคลียสเดิมโตขึ้นกลายเป็นนิวเคลียสของธาตุใหม่ แต่ปัจจุบันเชื่อกันว่า การรายงานของแฟร์มีผิดมากกว่าถูก เนื่องจากการระดมยิงอะตอมยูเรเนียมด้วยนิวตรอนช้ามีโอกาส เกิดการแบ่งแยกนิวเคลียส (nuclear fission) เป็นธาตุใหม่ 2 ธาตุที่มีขนาดเล็กลง มากกว่าโอกาสที่จะเกิดธาตุที่โตขึ้น
แฟร์มีเผยแพร่ผลงานตั้งแต่ปี 1834 เวลาผ่านไปจนถึงปี 1838 นักวิทยาศาสตร์มากมายตรวจสอบผลการทดลอง ของแฟร์มีและแทบไม่มีผู้ใดคัดด้าน ในที่สุดแฟร์มีจึงได้รับรางวัลโนเบลไป วันรับรางวัลคือ 10 ธันวาคม 1938 แต่เพียงไม่กี่วันต่อมา พอถึงตอนต้นปีถัดมาในเดือนมกราคม 1939 ออทโท ฮาน (Otto Hahn) กับฟริทซ์ ชตราสส์มันน์ (Fritz Strassmann) ก็ประกาศผลการศึกษาว่า ธาตุ 2 ธาตุที่เกิดจากการระดมยิงอะตอมยูเรเนียมด้วยนิวตรอน เกิดจากนิวตรอนไปแบ่งแยกนิวเคลียสออกเป็นสองเสี่ยงที่มีขนาดเล็กลง ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง และการแบ่งแยกนิวเคลียสของยูเรเนียมนี้ปล่อยพลังงานออกมาด้วย ที่ปัจจุบันนำมาใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าภายใน เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

|

|

|
เอนรีโก แฟร์มี (http://www.anl.gov/) |
ออทโท ฮาน (www.atomicarchive.com/) |
ฟริทซ์ ชตราสส์มันน์ (www.atomicarchive.com/) |
รางวัลโนเบลที่มอบให้แก่แฟร์มีไปแล้วไม่มีการเรียกคืน รวมทั้งข้อความประกาศรางวัลนั้นก็ไม่มีการแก้ไขใด ๆ และนี่ก็คือ เฟทาคองพลี
จะขอยกตัวอย่างเฟทาคองพลีในประวัติศาสตร์นิวเคลียร์อีกตัวอย่างหนึ่ง
พลังงานจากปฏิกิริยาแบ่งแยกนิวเคลียสก่อนที่จะมีการนำไปผลิตกระแสไฟฟ้านั้น มีการนำไปใช้ในสงครามโลก ครั้งที่สองก่อน คือนำไปผลิตลูกระเบิดอะตอม (atomic bomb) หรือที่เรียกกันติดปากว่า ระเบิดปรมาณู (ปรมาณู ก็คือ atom)
คำว่า atomic bomb น่าจะเรียกติดปากกันก่อนในหมู่นักวิทยาศาสตร์ที่ผลิตมันขึ้นมา ครั้นเมื่อสหรัฐอเมริกา นำไปทิ้งบอมบ์ที่ฮิโรชิมาเพื่อให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงคราม ประธานาธิบดีเฮนรี ทรูแมน ของสหรัฐอเมริกา ประกาศแก่ชาวโลกถึงลูกระเบิดชนิดนี้ คำนี้จึงถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นครั้งทางการเป็นครั้งแรก และใช้กันอย่างกว้างขวาง
นักฟิสิกส์นิวเคลียร์รุ่นต่อ ๆ มาเห็นว่าพลังงานของลูกระเบิดชนิดนี้เกิดจากปฏิกิริยาที่เกิดกับนิวเคลียสของอะตอม จึงเห็นว่าต้องเรียกว่าลูกระเบิดนิวเคลียร์ (nuclear bomb) จึงถูกต้อง (nuclear เป็นคำคุณศัพท์ของคำนามว่า nucleus) และในปัจจุบันก็มีความพยามยามเลิกใช้คำว่า ปรมาณู มาใช้ให้ถูกต้องว่า นิวเคลียร์ ดังจะเห็นมีคำว่าพลังงานนิวเคลียร์ (nuclear energy) เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ (nuclear reactor) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ (nuclear power plant) เป็นต้น แต่คำว่า ปรมาณู ก็ยังติดอยู่ในหลาย ๆ แห่ง ลบอย่างไรก็ไม่หาย เช่นคำว่า ปรมาณูเพื่อสันติ (Atoms for Peace) แม้แต่คำว่าพลังงานปรมาณู (atomic energy) และยังรวมทั้งคำว่า ระเบิดปรมาณู ด้วย
ขอจบเรื่องนิวเคลียร์เฟทาคองพลีเพียงเท่านี้ แต่ก่อนจบก็ขอกล่าวถึงการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองไทยสักเล็กน้อย คือเมื่อปลาย พ.ศ. 2551 กลุ่มเพื่อนเนวินได้แยกตัวออกจากพรรคพลังประชาชนที่ถูกคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้ยุบพรรค เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 แล้วมาตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ หนังสือพิมพ์ได้ลงข่าว การเปลี่ยนขั้วครั้งนี้ถึงคำพูดที่นายเนวินได้กล่าวแก่ใครคนหนึ่งว่า “ มันจบแล้วครับเจ้านาย” นั้น นายเนวินอาจพูด ได้อีกอย่างว่า …
“ เฟทาคองพลีครับเจ้านาย”
อ้างอิง
[1] http://foolocracy.com/2008/11/british-city-councils-ban-latin-phrases-from-english-language/
[2] Borwornsak Uwanno , Dynamics of Thai Politics, paper presented in the seminar on “The United States – Thailand Relationship and Southeast Asia” organized by the Royal Thai Embassy ,on May 9-10 , at Holiday Inn , Arlington Virginia.
|