ยุคคลั่งไคล้รังสี
สุรศักดิ์ พงศ์พันธุ์สุข
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
ค.ศ.
1895 เมื่อแรกที่เรินต์เกนค้นพบรังสีเอกซ์นั้น เขาเผยแพร่ผลงานโดยไม่จดสิทธิบัตร
ทำให้ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 แพทย์พากันเห่อและได้นำรังสีเอกซ์ไปใช้รักษาผู้ป่วยแทบทุกโรคเท่าที่จะนึกหาวิธีกันได้
เช่น การฉายเพื่อรักษาโรคผิวหนัง การให้รังสีแก่มดลูกกรณีประจำเดือนมากผิดปกติ และการวินิจฉัยด้วยเครื่องกำเนิดภาพรังสีหรือรังสีทรรศน์ (fluoroscope) โดยเครื่องในยุคแรก ๆ
มีลักษณะเป็นกรวยกระดาษแข็ง ปลายเปิดด้านแคบสำหรับตามอง ส่วนปลายด้านกว้างมีชิ้นกระดาษแข็งเคลือบด้วยสารฟลูออเรสเซนซ์สำหรับให้เกิดภาพ
อีกด้านของกรวยเป็นต้นกำเนิดรังสีเอกซ์ เมื่อต้องการตรวจสิ่งใดก็นำสิ่งนั้นมาวางคั่นตรงกลางก็จะได้ภาพราง
ๆ มองเห็นได้
ในสหรัฐอเมริกายังนิยมใช้รังสีเอกซ์ตรวจครรภ์เพื่อดูสภาพเด็กทุกเดือนจนกว่าจะคลอดว่าเด็กสมบูรณ์ดีหรือไม่
และคริสต์ทศวรรษ 1950 มีรถเอกซเรย์เคลื่อนที่ไปตรวจวัณโรคให้เด็กนักเรียนตามโรงเรียนทั่วประเทศ

"...placing [his
hand] between the fluoroscope and the X-ray tube...."
รังสีทรรศน์ในยุคแรก ๆ (http://home.gwi.net/~dnb/read/edison/edison_xrays.htm)
ต่อมายังมีการพัฒนารังสีทรรศน์ไปใช้ในทางการค้าโดยประมาณ
ค.ศ. 1924 นายแคลเรนซ์ คาร์ ที่เมืองมิลวอกีประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประดิษฐ์เครื่องซึ่งน่าจะเรียกว่า เครื่องตรวจความเหมาะเจาะของรองเท้า (shoe-fitting
fluoroscope สำหรับในประเทศอังกฤษเรียกว่า pedoscope) โดยนำไปใช้ตามร้านขายรองเท้าสำหรับเด็ก ลักษณะเป็นตู้ไม้สูงเมตรเศษ
มีช่องให้สอดเท้าและด้านบนมีช่องมอง 3 ช่องสำหรับเด็ก ผู้ปกครอง และคนขายรองเท้า
ซึ่งรังสีเอกซ์ในตู้จะทำให้เห็นสัมผัสระหว่างเท้ากับรองเท้าเพื่อให้เลือกรองเท้าได้เหมาะสม

|

|
เครื่องตรวจความเหมาะเจาะของรองเท้า และใบแจ้งผลตรวจ
(http://www.orau.org/ptp/collection/shoefittingfluor/shoe.htm) |
ต่อมาพบว่ารังสีทรรศน์ยุคแรก
ๆ นี้ไม่ปลอดภัยจากรังสีจึงมีการพัฒนาต่อมาให้มีความปลอดภัย
ส่วนเครื่องตรวจความพอเหมาะของรองเท้าถูกห้ามใช้ประมาณคริสต์ทศวรรษ 1960
และในอังกฤษเลิกใช้ในทศวรรษถัดมา
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อมาดามคูรีค้นพบเรเดียมใน
ค.ศ. 1898 ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสีและศึกษาวิธีนำมาใช้ทางการแพทย์
โลกตะวันตกยุคนั้นก็ถึงกับคลั่งไคล้รังสีกันอย่างหนัก คงเป็นเพราะว่ารังสีมีพลังงานจึงเชื่อกันว่าเมื่อนำรังสีมาใช้กับสิ่งของในชีวิตประจำวันก็น่าจะให้พลังงานแก่ร่างกายได้และทำให้สุขภาพดี
ดังนั้นหลังจากที่เรเดียมหาง่ายขึ้นจึงมีผลิตภัณฑ์ที่แปลกประหลาดที่เกี่ยวกับสารกัมมันตรังสีออกมาจำหน่ายในท้องตลาดอย่างมากมายจนไม่น่าเชื่อ
เรเดียมนั้นเมื่อปล่อยรังสีต่าง
ๆ แล้วก็แปรธาตุเป็นแก๊สเรดอนซึ่งก็ปล่อยรังสีแกมมา แอลฟา และบีตาเช่นกัน ค.ศ 1925
มีการอวดอ้างว่าเรดอนรักษาโรคได้ถึง 27 อย่าง ไม่ว่าเกี่ยวกับหัวใจ มะเร็ง
ข้ออักเสบ ความดันโลหิตสูง วัณโรค อาการเจ็บหลัง อาการที่เกี่ยวกับตาบอด หอบหืด
เริม แผลในกระเพาะ และแม้แต่ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
ต่อมาการใช้เรเดียมก็ระบาดเข้ามาในทางการค้าเช่นเดียวกับรังสีเอกซ์
แต่เนื่องจากเรเดียมมีราคาค่อนข้างแพง บางผลิตภัณฑ์ก็ลดต้นทุนมาใช้ยูเรเนียมหรือทอเรียมที่หาง่ายกว่า
มีรังสีต่ำกว่า แต่ก็ให้แก๊สเรดอนเช่นกัน
ค.ศ. 1902 จอร์จ
อีตัน ที่ชานเมืองแคลร์มอร์ มลรัฐโอคลาโฮมา ประเทศสหรัฐอเมริกา
พยายามจะขุดหาน้ำมัน แต่ได้น้ำที่มีกลิ่นเหม็นออกมาแทน การตรวจสอบพบว่าในน้ำมีสารกัมมันตรังสีที่สามารถรักษาโรคได้นานา
ต่อมาบริเวณนี้จึงมีบังกะโลและโรงอาบน้ำเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดและกลายเป็นเมืองเล็ก ๆ
ชื่อว่าเรเดียมทาวน์ (Radium Town)

ขวดน้ำแร่ทำด้วยเซรามิก ของจริงสูงประมาณสี่นิ้วครึ่ง
มีจำหน่ายในร้านของที่ระลึกของบังกะโล
หรือวางในห้องพักสำหรับดื่มและเติมน้ำให้ทุกวัน (www.orau.org/)
หลังจากนั้นมาประมาณตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ
1920 น้ำที่มีสารกัมมันตรังสีก็เป็นที่นิยมจนมีผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า น้ำเรเดียม ออกจำหน่าย
โดยทำเป็นโถน้ำใบเขื่อง ด้านในโถน้ำอาจฉาบด้วยสารประกอบยูเรเนียม หรือเป็นโถน้ำเปล่า
ๆ แต่มีก้อนสารประกอบขนาดประมาณ 4นิ้ว ×2นิ้วที่มีเรเดียมหรือยูเรเนียมผสม นำมาวางไว้ข้างในโถน้ำ
เมื่อเติมน้ำลงไปก็จะได้น้ำที่มีแก๊สเรดอนละลายปนออกมา

|

|

|

|
Vitalizer
Water Jar |
Radium Vitalizer
Health Fount |
Thomas Radium C.R.
Jar |
Early and Unusual
Revigator |
โถน้ำโดยผู้ผลิตต่าง ๆ (www.orau.org/) |

|

|
Striz Radium Rock (ca. 1930) |
ก้อนสารประกอบเรเดียมสำหรับแช่ในน้ำ 1-2 แกลลลอน (www.orau.org/) |
ราว ค.ศ. 1920
ในประเทศฮังการีมีร้านขนมปังชื่อว่าฮิปป์มันน์บลาคตั้งอยู่ที่ St.
Joachimstal หรือ Jachymov (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสาธารณรัฐเช็ก)
ใช้น้ำเรเดียมผสมกับแป้งผลิตขนมปังและเรียกชื่อสินค้าของตนว่าเป็นขนมปังเรเดียม

ถุงใส่ขนมปังเรเดียม
(www.orau.org/)
ในนิวยอร์กมีบริษัทผลิตยาชื่อว่า Associated Radium Chemists, Inc. เป็นผู้ผลิตยาที่เป็นส่วนผสมเรเดียมหลายชนิดและใช้ชื่อคล้าย
ๆ กันตามแต่ว่าจะใช้อะไรเป็นกระสายยา กล่าวคือ เมื่อเป็นยาเม็ดใช้ชื่อว่า Arium เมื่อผสมในน้ำมันทาแก้ปวดเมื่อยใช้ชื่อว่า Linarium เมื่อผสมในขี้ผึ้งใช้ชื่อว่า Ointarium เมื่อผสมในยาสีฟันใช้ชื่อว่า Dentarium และใช้ชื่อว่า Kaparium สำหรับน้ำมันใส่ผม

Arium 1 ตลับบรรจุ 42 เม็ดราคาเพียง 1 ดอลลาร์อเมริกัน ละลายน้ำรับประทานครั้งละ
2 เม็ด ใช้รักษาโรครูมาทอยด์ ประสาทอักเสบ ปวดประสาท และเกาต์ (www.orau.org/)
ในย่อหน้าที่แล้วคงเห็นแล้วว่าในประเทศสหรัฐอเมริกามียาสีฟันที่ผสมเรเดียมด้วย
ซึ่งในยุโรปก็มีเช่นกัน ตัวอย่างที่หาได้คือในประเทศเยอรมนี เป็นยาสีฟันยี่ห้อโดรามัด
(Doramad) ที่มีทอเรียมเป็นส่วนผสม และตรงนี้มีเกร็ดขำ ๆ
เล็กน้อยพอให้เล่าสู่กันฟัง


หลอดยาสีฟันโดรามัด และฝอยโฆษณา
(http://soberswan.wordpress.com/2008/04/14/radioactive-toothpaste/)
ขณะนั้นเป็นช่วง
ค.ศ. 1944 อันเป็นช่วงท้าย ๆ ของสงครามโลกครั้งที่ 2
ซึ่งในสหรัฐอเมริกามีโครงการผลิตลูกระเบิดอะตอมที่มีหัวหน้าโครงการชื่อว่า โกรฟส์ที่แปลว่าพุ่มไม้
และมีการยึดยูเรเนียมออกไซด์ของเอกชนที่ใช้ในการทำสีเคลือบเซรามิกให้เป็นสีแดง ๆ
เหลือง ๆ เพราะถือว่าเป็นยุทธปัจจัย ขณะนั้นในประเทศเยอรมนีก็มีโครงการแบบเดียวกัน
แล้วก็มีการยึดแร่ยุทธปัจจัยในประเทศยุโรปที่กองทัพนาซีบุกเข้าไปยึดครองไว้ได้เช่นกัน
และสหรัฐได้ส่งหน่วยสืบลับชื่อว่า ALSOS (จากภาษากรีกแปลว่า
พุ่มไม้ ตามชื่อของโกรฟส์) ติดตามดูว่าเยอรมนีจะผลิตลูกระเบิดอะตอมสำเร็จหรือไม่
แล้วก็พบว่าเมื่อกองทัพนาซีเข้ายึดครองฝรั่งเศส บริษัทเอาเออร์เกส์เซลชาฟท์ (Auer Gesselshaft) ที่มีส่วนในการผลิตยูเรเนียมได้เข้าไปยึดกิจการบริษัท Terres-Rares ซึ่งเป็นผู้ผลิตแรเอิร์ทและทอเรียม
และมีการขนย้ายแร่ที่ใช้ผลิตทอเรียมจำนวนมหาศาลลงเรือกลับไปเยอรมนี อันน่าจะแสดงว่าเยอรมนีก้าวหน้าในการผลิตลูกระเบิดอะตอมไปมากเกินกว่าที่คาดไว้
แต่จากการสืบสวนต่อ ๆ มาเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรยึดคืนเมืองต่าง ๆ กลับมาได้เรื่อย ๆ
กลับพบว่าบริษัทเอาเออร์เกส์เซลชาฟท์ทราบดีว่าสงครามใกล้ยุติแลธุรกิจยูเรเนียมของตนจะต้องยุติลงด้วย
จึงเตรียมหันไปยังธุรกิจเครื่องสำอาง โดยเห็นว่ายาสีฟันผสมเรเดียมก็มีผลิตแล้ว
จึงคิดจะผลิตยาสีฟันผสมทอเรียมมาแข่งและได้ถือโอกาสยึดเอาแร่ดังกล่าวมาจากฝรั่งเศส
เรื่องก็มีเท่านี้เอง แต่ก็เล่นเอาสหรัฐอเมริกาต้องหัวปั่นอยู่เป็นปี
ความคลั่งไคล้สารกัมมันตรังสียังมีพิสดารอีกมาก
ต่อไปนี้ตัวอย่างผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะช่างคิดช่างสรรค์ผลิตกันขึ้นมาได้
และไม่มีจำหน่ายแล้วในปัจจุบัน
ครีมทาหน้า (ฝรั่งเศส) (http://www.curie.fr)
|
ถุงยางอนามัย (http://www.pkmooney.com)
|
แท่งสอดในทวารหนักใช้ร่วมกับยาสำหรับเพิ่มสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย
(http://www.orau.org) |

เกลือละลายน้ำอาบ
(http://www.orau.org) |

แผ่นแก้ปวด ตากแดดก่อนนำมาแปะไว้ที่หลัง
(http://www.orau.org) |

หมอน ที่นอนเรดอน
(http://www.orau.org) |
อย่างไรก็ดี แม้แต่ในศตวรรษที่
21
นี้ก็ยังสีสินค้าที่มีสารกัมมันตรังสีผสมอยู่ด้วยซึ่งโดยมากเป็นผลิตภัณฑ์ของประเทศญี่ปุ่น
ขอยกตัวอย่างเพียง 3 ชนิดจากเว็บไซต์ http://www.orau.org เช่นเคย

ตัวดับกลิ่นในตู้เย็น |

สอดแผ่นนี้ในซองบุหรี่ 20 นาทีจะลดทาร์และนิโคตินได้ 17
เปอร์เซ็นต์ |

เครื่องดื่มที่วางบนแผ่นรองนี้จะถูกทำให้มีการแตกตัวเป็นไอออนและมีรสชาติดีขึ้น |
เชื่อว่าโลกนี้คงยังผู้คลั่งไคล้รังสีอีกมากที่กำลังรอใช้ผลิตภัณฑ์รังสีใหม่
ๆ ที่คงมีผลิตออกมาอีกเรื่อย ๆ