การควบคุมความปลอดภัยทางรังสี
สารรังสีในตัวอย่างซิลิกอนประกอบด้วยสองส่วนคือ ที่ผิวและที่อยู่ภายในเนื้อแท่งซิลิกอน สารรังสีที่ผิวอาจปนเปื้อนจากการขนส่งหรือการอาบตัวอย่าง สารเหล่านี้สามารถชำระล้างหรือเช็ดออกด้วยสารละลายที่เหมาะสม
สารรังสีภายในแท่งซิลิกอนที่สำคัญได้แก่ 32P ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยา 31P (n,b) 32P มีครึ่งชีวิตประมาณ 14.5 วัน ซึ่งปริมาณของกัมมันตภาพรังสีที่เกิดขึ้น จะขึ้นกับเวลาที่ใช้ในการอาบรังสี กล่าวคือ การอาบรังสีนานจะทำให้เกิดรังสีในปริมาณสูงขึ้น
ในข้อกำหนดสำหรับการเคลื่อนย้ายและขนส่งซิลิกอนตามกฏของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ(4) สารกัมมันตรังสีหมายถึง วัสดุใด ๆ ที่มีกัมมันตภาพรังสีจำเพาะ (specific activity) มากกว่า 2x10-3 mCi/g ทั้งนี้ ในการเคลื่อนย้ายวัสดุกัมมันตรังสีใด ๆ จะต้องปฏิบัติตามระเบียบด้านความปลอดภัยทางรังสีตามมาตรฐานของ ICRP (International Commission of Radiological Protection)
นอกจากซิลิกอนแล้ว ยังมีสารกึ่งตัวนำชนิดอื่นที่ผลิตได้ด้วยวิธีการอาบนิวตรอน เช่น เจอร์เมเนียม และแกลเลียมอาร์เซไนด์ แต่เนื่องจากไอโซโทปรังสีที่เกิดขึ้นมีครึ่งชีวิตยาว ซึ่งบางชนิดอาจต้องทิ้งไว้นานเป็นเดือนเพื่อให้ปริมาณรังสีลดลงอยู่ในระดับปลอดภัย จึงไม่เหมาะสำหรับการผลิตในเชิงพาณิชย์
ในปัจจุบันนี้คาดว่า สารกึ่งตัวนำซิลิกอนที่จำหน่ายในท้องตลาดประมาณร้อยละ 50 ผลิตด้วยกรรมวิธีนี้ ประเทศที่ให้บริการอาบรังสีซิลิกอนที่สำคัญ เช่น ประเทศออสเตรเลีย เดนมาร์ก ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เป็นต้น สำหรับประเทศไทยได้มีการเตรียมท่อสำหรับอาบซิลิกอนในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ที่จะสร้างขึ้นใหม่ ณ ศูนย์นิวเคลียร์องครักษ์ จำนวน 4 ท่อ ซึ่งในจำนวนนี้ จะมีการติดตั้งอุปกรณ์สำหรับอาบซิลิกอนครบชุดไว้ 2 ท่อ ซึ่งคาดว่าจะสามารถอาบแท่งซิลิกอนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ 3-6 นิ้ว ได้ไม่ต่ำกว่าปีละ 1 ตัน
บทสรุป
การโดปซิลิกอนด้วยวิธีนี้มีข้อดีคือ ให้ปริมาณของสารเจือปนที่แม่นยำ (ความผิดพลาดน้อยกว่า 1%) และสภาพต้านทานไฟฟ้าตลอดแท่งซิลิกอนมีความสม่ำเสมอหรือภาวะเอกพันธุ์ (homogeneity) สูง ทั้งในแนวแกนและแนวรัศมี เหมาะสำหรับใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้ากำลังสูง อย่างไรก็ตาม การโดปซิลิกอนด้วยการอาบนิวตรอนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอาบรังสีค่อนข้างสูง ทั้งยังต้องผ่านขั้นตอนการควบคุมความปลอดภัยทางรังสีด้วย
เอกสารอ้างอิง |