วัสดุกำบังรังสี (SHIELDING) |
นางสาวเยาวลักษณ์ วาหะรักษ์
ภาควิชาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยทักษิณ จ.สงขลา
ดร. อุดร ยังช่วย
งานปฏิบัติการความปลอดภัย
สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)
|
เมื่อรังสีกระทบต่อสิ่งมีชีวิตจะก่อให้เกิดผลตามมาโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ชนิดรังสี พลังงานของรังสี ปริมาณรังสี และชนิดของอวัยวะที่รังสีตกกระทบ รังสีที่ก่อให้เกิดการแตกตัวเป็นไอออน (ionizing radiation) นั้นมีผลต่อสิ่งมีชีวิตโดยทำให้อะตอม โมเลกุลภายในเซลล์ และระบบการทำงานของเซลล์เปลี่ยนไปและเกิดอาการผิดปกติในร่างกายขึ้นได้ ดังนั้นในการทำงานเกี่ยวข้องกับรังสีผู้ปฏิบัติงานควรที่จะมีเครื่องกำบังรังสี (shielding) เพื่อลดปริมาณรังสีที่จะเข้าสู่ร่างกาย
การเลือกใช้ชนิดเครื่องกำบังรังสี ต้องคำนึงถึง |
- ความแรงรังสีของต้นกำเนิดรังสี
- ชนิดของรังสี/พลังงานรังสี เช่น รังสีแกมมา รังสีบีตาพลังงานสูง รังสีบีตาพลังงานต่ำ รังสีแอลฟา
- ค่าที่ยอมรับได้หลังจากผ่านเครื่องกำบังรังสี เช่น ค่าที่ยอมให้ผู้ปฏิบัติงานรับได้ในระหว่างปฏิบัติงาน
จากรูปที่ 1. แสดงให้เห็นว่า ชนิดของรังสี/พลังงานรังสีที่แตกต่างกันไป มีอำนาจทะลุทะลวงต่างกัน และต้องการเครื่องกำบังรังสีต่างชนิดกันด้วย |
|
 |
|
รูปที่ 1 อำนาจในการทะลุทะลวงของรังสีชนิดต่าง ๆ |
|
รังสีแกมมา ต้องใช้วัสดุที่มีความหนาแน่นสูง เช่น ตะกั่ว เหล็ก คอนกรีตหนา ฯลฯ รังสีนิวตรอนต้องอาศัยวัสดุที่มีไฮโดรเจนสูง เช่น น้ำ พาราฟิน ส่วนรังสีนิวตรอนที่มีพลังงานต่ำ (thermal neutron) ก็อาจจะใช้วัสดุที่มีการดูดกลืนนิวตรอนสูง (high neutron absorption) เช่น แคดเมียม เป็นต้น (ตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 วัสดุกำบังรังสีแบ่งตามชนิดของรังสี |
ชนิดของรังสี |
ชนิดของเครื่องกำบังรังสี |
แอลฟา |
ไม่จำเป็น |
บีตาพลังงานต่ำ |
ไม่จำเป็น |
บีตาพลังงานสูง |
พลาสติก |
รังสีเอกซ์และแกมมา |
คอนกรีต/ตะกั่ว/เหล็ก |
นิวตรอน |
คอนกรีต/น้ำ/ polythene/พาราฟิน |
|
หลักการออกแบบเครื่องกำบังรังสีเบื้องต้น รังสีในแนวขนาน ซึ่งประกอบด้วย อนุภาคที่ไม่มีประจุเป็นจำนวนมาก N0 ตกกระทบตั้งฉากกับแผ่นวัสดุซึ่งมีความหนา L (รูปที่ 2) สมมุติให้กรณีนี้ แต่ละอนุภาคถูกดูดกลืนโดยสมบูรณ์ ในอันตรกิริยาเดี่ยว ผลที่เกิดขึ้น จะไม่มีการกระจายของรังสีทุติยภูมิ หรืออนุภาคไม่มีประจุ จะผ่านเข้าไปในแผ่นวัสดุ ด้วยพลังงานและทิศทางในแนวเส้นตรง |
|
|
|
รูปที่ 2 การลดแบบเลขชี้กำลัง (exponential attenuation) |
|
ให ้ m เป็นความน่าจะเป็นของอันตรกิริยาของแต่ละอนุภาคต่อวัสดุ ที่มีความหนาของภาคตัดขวาง 1 หน่วย ดังนั้นความน่าจะเป็นที่จะเกิดอันตรกิริยาต่อความหนา dl คือ mdl ถ้าอนุภาคจำนวน N ตกกระทบความหนา dl การเปลี่ยนของ dN จากจำนวน N เนื่องจากถูกดูดกลืนสามารถเขียนได้ดังนี้ |
|
เมื่อ m มีหน่วยเป็น cm-1 หรือ m-1 และ สอดคล้องกับ cm หรือ m (เซนติเมตร หรือเมตร) เศษส่วนการเปลี่ยนแปลงค่า N เนื่องจากการถูกดูดกลืนของอนุภาคในความหนา dl สามารถเขียนได้เป็น |
|
อินทิเกรตตามความลึก l จาก 0 ถึง L และสอดคล้องกับความน่าจะเป็นของจำนวนอนุภาคจาก N0 ถึง NL ดังนี้ |
|
สมการ (3) เรียกว่า The Law of Exponential Attenuation ซึ่งนำไปประยุกต์ใช้กับกรณีการดูดกลืนอย่างง่าย ไม่มีการกระเจิงหรือการแผ่รังสีแบบทุติยภูมิ หรืออาจจะมีการกระเจิงและมีอนุภาคทุติยภูมิเกิดขึ้นแต่ไม่นับว่าเป็น NL ส่วนค่า m คือสัมประสิทธิ์การดูดกลืนเชิงเส้น เมื่อหารด้วยความหนาแน่นของของตัวกลางที่ดูดกลืนจะได้สัมประสิทธิ์การดูดกลืนเชิงมวล บางครั้ง m หมายถึงสัมประสิทธิ์การดูดกลืนของลำรังสีแคบ
หากแทนที่สมการ (3) ด้วยทฤษฎีบททวินาม จะได้ |
|
ถ้า m มีค่าน้อยมาก สามารถประมาณค่าได้ด้วย (1- mL) ถ้า mL< 0.05 สามารถประมาณค่าได้ดังนี้คือ |
|
อ้างอิง
- สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี , การป้องกันอันตรายจากรังสีระดับ 1
- Frank H.Attix, Inrtoduction to Radiological Physics And Radiation Dosimetry, USA, 1986
- www.oap.go.th
- www.tint.or.th
|
|